NOMOREPORN! เลิกๆๆหนังโป๊ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin

Go down

Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin Empty Re: Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin

ตั้งหัวข้อ by Admin Sun Apr 12, 2015 2:53 pm

TOEFL Tips แบบส่วนตั๊วส่วนตัวครับ....  

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/06/K6668046/K6668046.html

แหะ ๆ ก่อนอื่นต้องขออภัยครับที่หายไปนานนนนมาก
ข้อความหลังไมค์ก็ไม่ได้ตอบ อิ๊งหลิ่ชติ๊บ และคำถามต่าง ๆ ก็ค้างอีกบานตะไท
เนื่องจากไปเตรียมตัวและสอบ TOEFL มา เกือบสองเดือนได้
และตั้งใจว่าช่วงนั้น (จนถึงช่วงนี้) จะพยายามไม่เข้าเน็ต (เข้าทีไรยาวทุกที)

ผมไปสอบมาเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ทราบคะแนนตอนเช้ามืดเช้ามืดวันพุธก่อน ๆ นู้น
แบบว่าว่างจัดตื่นมาเช็ค คะแนนดันออกซะงั้น
ผลที่ได้รู้สึกช็อคซีนีม่าเล็กน้อย แบบว่างง ๆ ตัวเองน่ะครับ
Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin K6668046-1

สถานที่สอบ


ผมได้รับคำแนะนำจากพี่คนหนึ่งว่า
ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า ดีมาก ๆ ห้าดาว ๆ
เลยตัดสินใจว่าจะไปสอบที่นู่น และก็ลงทุนไป survey ก่อนหนึ่งวันกันหลง
สถานที่หาไม่ยากครับ โดดเด้งมาก เสียอย่างเดียวตรงที่ไกลไปหน่อย
แต่วันสอบจริงมีน้ำขนมกาแฟบริการเพียบ (แต่ตอนนั้นกินไม่ค่อยลงอ่ะ เครียด)
ที่แปลกใจคือมีคนมาสอบเยอะมาก สามสิบกว่าคนได้ เต็มโควต้าเลย
แถมมีคุณพ่อคุณแม่และคุณแฟนมาให้กำลังใจกันเพียบ บรรยากาศเลยคึกคักยังกะช่วงเลือกตั้ง

อุปกรณ์


ดีมากมายครับ อุปกรณ์ค่อนข้างใหม่
มอนิเตอร์เป็นแบบจอแบน ไม่สะท้อนแสง อ่านง่ายสบายตา
ที่สำคัญ คือมีพาร์ติชั่นกันระหว่างผู้สอบ ค่อนข้างเป็นส่วนตัว
ตอน Speaking ก็ได้ยินเสียงคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รำคาญ

เจ้าหน้าที่
บริการดีครับ ขนาดผมมีปัญหาว่า id ในใบที่ print out กับในใบลงทะเบียนไม่ตรงกัน
เขาก็ให้สอบ ผมก็ถามต่อว่าไม่มีปัญหาจริงอ่ะ เขาก็ยิ้ม ๆ บอกว่าไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ

อ้อ วันสอบอย่าลืมเตรียมหลักฐาน คือ
ใบ print out จากทาง ETS
และพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนนะครับ

และแล้วก็ถึงเวลาสอบจริง อย่างแรกก็ถ่ายรูปกันก่อน แชะ
แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปนั่งที่โต๊ะสอบ และจัดการเปิดระบบให้

Reading


ปกติวิธีที่ผมฝึกมาคือ อ่าน Reading ทั้งหมดก่อน เน้นว่าให้เข้าใจ+เห็นภาพ
แล้วค่อยไปตอบคำถามโดยไม่ต้องอ่านซ้ำ ซึ่งตอนฝึกก็ค่อนข้างได้ผล

แต่พอมาเจอของจริง passage แรก อ่านจบไปหนึ่งรอบ
ก็เกิดอาการที่ว่า "ตรูอ่านอะไรไปฟะ..."
เพราะความยากและความยาว น้อง ๆ GMAT เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าแทบอยากจะแกล้งเตะปลั๊กให้ไฟดับแล้วกลับไปเตรียมตัวใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป

พอรวบรวมสติได้ (หลังจากเวลาผ่านไป 10 นาที)
ก็นึกถึงคำแนะนำของคุณ "เมื่อลมแรงฯ" ที่ว่าไม่ต้องอ่านหมด
เอาแค่บรรทัดแรกของแต่ละ paragraph แล้วไปตะลุยโจทย์เลย
แต่เวลาที่เหลืออีกแค่ 10 นาที กับโจทย์ 14 ข้อ ก็ทำให้ล่กเอาการ
ก็เลยข้ามไปทำข้อที่ง่าย ๆ ก่อน เช่น
ข้อที่ถามว่า pronoun นี้ refer ถึงอะไร?
หรือคำนี้ความหมายใกล้เคียงกับคำว่าอะไร? ซึ่งแทบไม่ต้องอ่านก็พอทำได้
โจทย์แบบนี้มีหลายข้อ ยิ่งทำเยอะ กำลังใจก็เริ่มมา
ส่วนข้อถามที่ detail หรือต้อง imply นั้นก็ต้องออกแรงอ่านกันพอสมควร
แต่จำไว้ว่า ทุกคำตอบมีอยู่ใน passage ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะหาเจอหรือเปล่า

ด้วย strategy นี้ ขอสารภาพว่าผมไม่เข้าใจ passage เลย
แต่พอทำโจทย์ได้ ก็เลยงง ๆ อยู่ว่าได้คะแนนมาได้ไง...
อีกอย่างคือโชคดีที่เจอข้อสอบแบบแค่ 3 reading ไม่งั้นคงน้ำลายฟูมปากไปแล้ว

สำหรับคนที่จะเตรียม part นี้ ขอแนะนำให้อ่านของ Cambridge ครับ
เพราะความยากและความยาวใกล้เคียงของจริงมาก
ทำบ่อย ๆ และพยายามจำลองสถานการณ์เหมือนสอบจริง
คือทำติดกันเลยสามอัน ชั่วโมงหนึ่ง
จะได้ชินกับความรู้สึกว่าอยากจะอ้วกเป็นภาษาอังกฤษนั้น มันเป็นยังไง...

Listening


ตอนนั้น ผมค่อนข้างเสียความมั่นใจตรง Reading ไปพอสมควร
แต่พยายามคิดว่า ต้องไม่ให้มันมากระทบ part อื่นได้

ผมฝึกเรื่องการฟังมานานพอสมควรครับ ด้วยการฟัง audiobook และ VOA
ซึ่งช่วยได้มาก เพราะฟังออกทุกคำ ที่เหลือก็คือสมาธิว่าจะหลุดหรือเปล่า

สำหรับ part นี้ บางคนก็ take note ขณะฟัง ซึ่งผมทำแล้วพบว่า
เวลาผมพยายามจดอะไร ก็จะทำให้หลุดอีกประเด็นไปเลย ไม่คุ้มกัน
หลัง ๆ ผมใช้วิธีนั่งหลับตาฟังเลย (แต่ก็ชำเลืองมอนิเตอร์เป็นระยะ)
ซึ่งได้ผลกับผมมาก เพราะไม่เสียสมาธิ
และเวลาตอบ ผมก็ไม่ต้องและไม่ชอบอ่านโน้ตอยู่แล้ว
แต่ก็ต้องมีทักษะในการสร้าง Mental Picture ด้วย

ใน part Listening นั้น จะไม่สามารถย้อนกลับมาทำข้อก่อน ๆ ได้
ซึ่งผมชอบนะครับ เพราะว่ามันวัดใจดี
คือถ้าเราอ่านโจทย์เนี่ย ถ้าเราตอบได้ มันก็คือตอบได้เลย คลิกได้ทันที
เพราะคำตอบมันอยู่ในหัวอยู่แล้ว
แต่ข้อไหนที่หลุด ฟังไม่ทันเนี่ย คิดให้ตายก็คิดไม่ออก (เพราะลืมฟัง)

อีกอย่างคือ ผมเคยทำงานเกี่ยวกับดนตรีในห้องอัด ซึ่งต้องฟังนาน ๆ ด้วยมั้งครับ
เจอไป 8 listening passages ก็ยังโอเค ประมาณว่ายังได้อีก ๆ
แต่ที่พลาดไปบางข้อคงเป็นเพราะใจลอยมากกว่า...

Speaking


จริง ๆ ที่ช็อคก็ part นี้นี่แหละครับ
เพราะเป็น part ที่ผมเตรียมตัวจริงจังที่สุด และค่อนข้างมั่นใจว่าพอทำได้
(คืออาจจะไม่ดีเท่าที่คิด แต่ก็คิดว่าพอทำได้) เห็นคะแนนก็เลยตกใจอยู่
แต่พอมานึกอีกทีก็รู้สึกว่าตอนนั้น พูดด้วย speed ที่เร็วไปหน่อย จนอาจจะฟังไม่ออก
ที่สำคัญคือ "ตื่นเต้น" จนนึกคำไม่ออก ต้องอธิบายอ้อม ๆ เสียเวลาไปซะงั้น

แต่จะว่าไป Speaking นี่เป็นทักษะที่คนไทย (รวมถึงผม) 
ค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับ skill อื่น
เพราะเราเน้นอ่าน เขียน ฟัง เป็นหลักมานาน ขณะที่ speaking นึ่มาฝึกเอาทีหลัง
กว่าจะขุนขื้นก็คงต้องใช้เวลาพักใหญ่ ๆ น่ะครับ

แต่ แต่ ไอ้การให้มาเตรียม 15 วิ และพูด 45 วิ หรือ 20 วิ และ 60 วิ
นี่มันหนักหนาเอาการเลยนะครับ
อย่างเวลาอ่านเขียน เราหลุดตรงไหนก็ยังพอแก้ได้ มีเวลาให้หายใจ
ส่วน Speaking ใน TOEFL เนี่ย ถ้าหลุดแล้วโอกาสกลับตัวยาก 
แถมให้พูดกับคอมอีก พิลึกดีแท้ ถ้าพูดกับคนจริง ๆ ก็ยังดึงจังหวะได้
แต่ยังไงผมก็เห็นว่านี่เป็นทักษะที่ท้าทายและเป็นประโยชน์มาก ๆ ครับ

Writing


part นี้ผมเตรียม pattern สำเร็จรูปไปเลย คือกะเลยว่า ไม่ว่าจะถามอะไร ผมก็จะตอบเขียนว่า:


There is an ongoing discussion wheter ....
While some may ..., others prefer ....
In my opinion, there are three important reasons why ...


ส่วน integrated task ก็ประมาณว่า


According to the lecture, the professor made several points about ....
The professos states that ...
However, the reading claims that ...
The professor's lecture casts doubt on the reading 
by using a number of points as follow.



ซึ่งการเตรียม pattern นี้เข้าไป ช่วยแก้ปัญหาเขียนไม่ออก (Writer's block)
คือถ้าประโยคแรกไม่มา ประโยคอื่น ๆ ก็จะไม่ตามมาด้วย

อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่อง outline ครับ อย่าฟุ้งซ่าน เขียนไปเรื่อย
เอา keyword มาก่อน แล้วคิดว่าจะเอาอะไรมา support
เวลาเขียนต้องคำนึงเสมอว่า ไอ้ประโยคที่เราเขียนเนี่ย 
มันช่วย substantiate ประโยคหน้าหรือเปล่า ซึ่งทำให้เกิด coherence

และที่สำคัญ อย่าให้คำยาก ๆ ครับ ถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ
การใช้คำหรู ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ได้คะแนนสูง ๆ เสมอไป
เพราะถ้าใช้ผิด ก็จะถูกหักคะแนนทันที
เทียบกับใช้คำง่าย ๆ แต่ถูกบริบทและสื่อสารได้ชัดเจน
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการที่เราจำ collocation จึงมีส่วนช่วยได้มาก

และที่สำคัญ ๆ อีกอย่าง กรุณาฝึกพิมพ์สัมผัส (ภาษาอังกฤษ) ให้เป็นด้วยนะครับ ผมขอ...


แก้ไขล่าสุดโดย Admin เมื่อ Sun Apr 12, 2015 2:59 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 323
Join date : 16/01/2015
Age : 43

http://fapfree.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน Go down

Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin Empty Re: Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin

ตั้งหัวข้อ by Admin Sun Apr 12, 2015 2:58 pm

คะแนน IELTS ออกแล่ว + บทเรียนราคาแพง (5,700 บาท)...  

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/10/K7114013/K7114013.html

ผมไปสอบ ielts เมื่อวันเสาร์ที่ 4 ต.ค. ครับ 

บางคนอาจจะงงว่าสอบ toefl ไม่แล้วไม่ใช่หรอ คะแนนก็พอไปวัดไปวาได้

ปัญหาคือมันไม่เยอะพอตามที่มหาวิทยาลัยที่นู่นเขา require ไว้น่ะสิครับ
พี่แกเล่นขอ toefl iBT 115!!! (pbt:650, cbt:280)
(ผมรู้จักคนที่ได้คะแนนขนาดนี้แค่ 2 คน คนนึงเป็นรุ่นน้องที่คณะ อีกคนก็อยู่แถวนี้แหละ อิ ๆ)
แต่เขาเอา ielts 7.0 ซึ่งเท่ากับ toefl 100
อืม ไม่ค่อยแฟร์แฮะ แต่เข้าใจได้ว่ามันเป็นของ EU ก็ต้องโปรพวกเดียวกันหน่อย

สารภาพว่าคราวนี้ไปสอบแบบชะล่าใจ ไม่ได้เตรียมไปเลย
ก่อนสอบสองวัน เพิ่งมาอ่าน ...ซวยแล่ว แนวข้อสอบมันไม่เหมือนกันแฮะ
เพราะเหลิงว่าตัวเองได้ toefl ok นึกว่า ielts มันจะง่ายกว่า...
และเจ้าความประมาทนี้มันจะมาส่งผลในภายหลัง เดี๋ยวเล่าให้ฟัง...

[ปล. ไอ้ราคาแพง 5,700 บาทที่ว่าคือค่าสมัครสอบครับ]

 

การสมัครสอบ

ผมสมัครที่ British Council ที่สยาม จะมีอีกเจ้าคือ IDP ซึ่งเป็นของออสเตรเลีย
เพื่อนผมไปสอบของ IDP บอกว่ากดคะแนนมากกว่าของ British Council อันนี้ไม่รู้จริงป่าวแฮะ...

สถานที่สอบ

โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซสครับ เป็น hall ใหญ่ ๆ คนสอบวันนั้นน่าจะ 400 - 500 คน ได้
โต๊ที่สอบเป็นโต๊ะยาว ๆ ซัก 2 เมตร นั่งกันสองคน แต่ที่รำคาญคือไอ้ผ้าคลุมโต๊ะเนี่ยมันยาวถึงพื้นเลย
ใครขยับขาหน่อยอีกฝ่ายก็จะรู้สึกด้วย (แต่ถึงเวลาสอบจริง ก็ไม่เป็นปัญหาครับ เพราะมันเครียดจนลืมเรื่องนี้ไปเลย)

ระบบเสียง

ถึงแม้จะเป็นห้องใหญ่ ฟังพร้อม ๆ กัน แต่ระบบเสียงดีมากครับ ชัดเจนทุกคำ
ก่อนสอบเขาจะเช็คว่าทุกคนได้ยินหรือเปล่า ถ้าเบาไปก็บอกให้เขาปรับเพิ่มได้

อุปกรณ์

มีดินสอให้สองแท่งกับยางลบก่อนนึงครับ แต่สอบไปซักพัก ดินสอเราเริ่มทู่ เขาก็จะมาเปลี่ยนให้ บริการดีมาก ๆ 

เอาล่ะ เริ่มสอบกันเลย ผมจำรายละเอียดไม่ได้หมดนะครับ เพราะมันสองอาทิตย์แล้ว
ตอนสอบเสร็จกลับมาก็ไม่มีอารมณ์จะเล่า แหะ ๆ

พอเข้าห้องเขาก็จะอธิบายกฎ กติกา มารยาท และแจกซองจดหมายให้เราเขียนชื่อที่อยู่
เพื่อจะได้จัดส่งผลสอบในกรณีที่เราไม่ไปรับผลเองครับ

Listening

เรื่องแรกเป็นการคุยสอบถามข้อมูลผ่านโทรศัพท์ครับ
เกี่ยวกับถามรายละเอียดต่าง ๆ สถานที่ วัน-เวลาทำการ ตัวสินค้า การจัดส่ง
ข้ออื่น ๆ ก็จะเป็นการฟังบรรยายสรุปต่าง ๆ เติมคำไปเรื่อย ๆ
เนื้อหาก็มีเกี่ยวกับศูนย์การเรียนรู้ การขอคืนภาษี และก็เลคเชอร์

แต่ละข้อเขาจะมีเวลาให้เราอ่าน ตรงนี้สำคัญมาก ๆ ให้สังเกตว่าเราต้องเติมคำตรงไหนบ้าง
ก็วง ๆ ขีด ๆ ไป เวลาฟังจริง ๆ จะได้ดักได้ว่าตรงนี้เขากำลังจะบอกรายละเอียดอะไร
แต่ถ้าหลุดตรงไหนก็ช่างมันครับ เพราะหลุดแล้วหลุดเลย ย้อนกลับไม่ได้
เตรียมทำข้อต่อไปดีกว่า 

Reading

เป็น part ที่ผมกังวลที่สุด เพราะไม่คุ้นกับแนวข้อสอบ แต่เวลาทำจริง ๆ passages ก็ไม่ยากมากครับ

วิธีทำที่ได้ผลสำหรับผมทั้ง toefl และ ielts คือ
อ่านประโยคแรกของแต่ละ paragraph ให้ครบก่อน เพื่อจะได้เห็นภาพรวม
แล้วพลิกไปดูโจทย์ว่ามันถามอะไรบ้าง

โจทย์ที่ผมเจอก็เกี่ยวกับประวัติของคอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ แล้วก็วิทยาศาสตร์เรื่องรสกับกลิ่นในอาหาร อีกอันจำไม่ได้

เวลาทำต้องพลิกบ่อย ๆ เพื่อหาข้อมูลครับ เจออะไรก็วงไว้เลย
โจทย์จะไม่ถามอะไรที่ทำให้เราต้องอ่านมากกว่า 1 paragraph
ยกเว้นข้อที่ให้จับคู่ topic กับ paragraph ส่วนข้อจับคู่ชื่อคน/สิ่งของนี่ไม่ยาก แค่หาให้เจอ คำตอบก็อยู่ข้าง ๆ แล้ว

ที่ต้องระวังนอกจากตัวสะกดและแกรมม่าร์แล้ว
คือ ข้อที่ให้จับคู่ ต้องดูว่าเขาให้จับคู่กับ paragrap A, B, C, D, E, ... หรือให้จับคู่กับ choices ที่เขาให้มากันแน่
เพราะผมตอนตรวจเช็คก็ชักสับสน แก้ใหม่กันพัลวัน แต่ไป ๆ มา ๆ ที่ทำตอนแรกก็ถูกแล้วนี่หว่า... 

Writing

ผมประมาทในส่วนนี้มาก ๆ คือไม่ได้เตรียม pattern อะไรไปเลย (ตอน toefl เตรียมไปเพียบ)
โจทย์ให้บรรยายกราฟเกี่ยวกับยอดขาย CDs ของ Music Stores, Supermarket และ Internet
ไปถึงก็เขียนใส่ ๆ ซักพัก ก็เริ่มตัน คำซ้ำไปซ้ำมา 

อีกข้อก็ถามประมาณว่า People tend to live by themselves. มีผลดี-ผลเสีย ต่อสังคมอย่างไร
ซึ่งกว้างมาก งงว่ามันสื่อถึงอะไร นึกเหตุผลโดน ๆ กับตัวอย่างไม่ค่อยออก ก็เลยเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

Speaking

ห้องสอบก็คือ hall ที่ใช้สอบตอนเช้าแหละครับ แต่ใช้ partition สูง ๆ กันไว้ มี 5 - 6 ห้อง
โดยเขาลำดับการเข้าสอบตามนามสกุล  พอซัก 25 - 27 คน ก็จะตัดขึ้นห้องใหม่
ผมโชคดีมาก ๆ ที่ได้สอบเป็นคนแรกของห้อง 3 เลย เพราะตัดที่ชื่อก่อนผมพอดี
สอบคนแรกตอน 13.00 น. เลยไม่กินข้าวเลย รออยู่แถวนั้นแหละ
ส่วนคนที่ได้คิวท้ายก็ห้าโมงนู่น รอกันเบื่อ (แต่ถ้าระหว่างรอได้ซ้อมก็จะดีมา)

เข้าไป เขาก็ถามคร่าว ๆ ว่า วันนี้เป็นไงบ้าง อยู่แถวไหน บรรยากาศเป็นไง มีกิจกรรมอะไรบ้าง
แล้วก็จะให้สุ่มเลือกคำถาม ผมได้ว่า ให้บรรยายเพื่อนสนิทมาคนหนึ่ง
ดูเหมือนง่าย แต่เพราะผมไม่ได้ซ้อมมา ก็เลยเละเทะเลย พูดแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก
บางข้อยาวจนเขาต้องเบรก แต่บางข้อก็ดันพูดเสร็จก่อนเวลา
โมโหตัวเองที่คำถามมันไม่ยากเลย พื้นฐานสุด ๆ แต่ดันไม่ได้เตรียมตัวไป เซ็งครับ... 


ผลสอบก็รอ 13 วัน ถ้าสอบวันเสาร์ ก็จะได้ผลวันศุกร์ตอนบ่ายโมงเป๊ะ
สามารถไปรับเองที่ British Council หรือเช็คในเน็ตที่ http://ielts-results.britishcouncil.org ก็ได้
ใครที่ไม่ไปรับผลภายใน 3 วัน เขาก็จะส่งมาให้ตามซองที่เราเขียนไว้ตอนแรก

คะแนนก็ออกมาดังนี้ครับ:
Non-nofap เทคนิคการสอบ TOEFL + IELTS by admin K7114013-5
 
 

ที่งง ๆ แต่เข้าใจได้คือ writing เพราะปกติผมก็เขียนก็พอได้ แต่ดันประมาทไปหน่อย
reading นี่ตอนทำก็คิดว่าทำได้ แต่ไม่นึกว่ามันจะดีขนาดดี ฟลุ้คน่ะครับ
listening ก็ตามนั้น เพราะข้อหลัง ๆ หลุดฟังไม่ทันเหมือนกัน
ส่วน speaking ก็ตามที่เล่าไว้แหละครับ พูดพอได้ แต่ไม่ดีมาก

สรุปก็คือ ได้เกินที่เขา require มาหน่อย แต่ก็ยังเครียดตรงที่เขาระบุว่า:

"a satisfactory level of spoken and written English: IELTS: 7.0"

ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ผมได้ไม่ถึง 7.0  แต่ก็ช่างมันครับ เพราะให้ส่งผลไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว
ตอนนี้ต้องมาเครียดเรื่อง statement of purpose กับ recommendation ที่ไม่รู้จะขอใครดี...
(ก่อวีรกรรมไว้เยอะ เหอะ ๆ)
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 323
Join date : 16/01/2015
Age : 43

http://fapfree.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ