อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
+3
Triumphz
Admin
NIGPO
7 posters
หน้า 1 จาก 1
อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
อันนี้ไปก๊อปจากเว็บคำสอนเต๋ามานะครับ อยากจะลองให้ทุกท่านได้พิจารณาว่าเป็นไปได้ไหมครับ
เคยสงสัยไหมครับว่า ฮ่องเต้ที่มีสนมนับพัน หากฮ่องเต้ใช้บริการนางสนมทุกวัน เป็นอันแห้งตายแน่ๆ แต่ชาวจีนเขามีวิธียังไง ให้ร่างกายแข็งแรงสม่ำเสมอ นั่นก็คือการร่วมเพศแบบบรรลุความใคร่โดยการไม่หลั่ง เพราะชาวจีนเขาเชื่อกันว่า การสูญเสียอสุจิของผู้ชายเปรียบเสมือนการสูญเสียพลังชีวิต
จนมีคำกล่าวไว้ว่า
ร่วม 1 ครั้ง โดยไม่หลั่ง หูตาจะแจ่มใส
ร่วม 2 ครั้ง โดยไม่หลั่ง สุ้มเสียงจะกังวาน แสดงถึงพลังภายในอันแกร่งกล้า
ร่วม 3 ครั้ง โดยไม่หลั่ง ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง แสดงว่าเลือดลมเดินดี
ร่วม 4 ครั้ง โดยไม่หลั่ง โรคปวดหลังเมื่อยเอว ปวดตามข้อรับรองไม่ถามหา
ร่วม 5 ครั้ง โดยไม่หลั่ง ไตและต้นขาจะแข็งแรง
ร่วม 6 ครั้ง โดยไม่หลั่ง จุดชีพจรทั่วร่างทะลุทะลวงปลอดโปร่ง
ร่วม 7 ครั้ง โดยไม่หลั่ง โรคภัยห่างไกลชั่วชีวิต
ร่วม 8 ครั้ง โดยไม่หลั่ง อายุยืนยาว
ร่วม 9 ครั้ง โดยไม่หลั่ง เข้าสู่แดนสุขาวดี
ร่วม 10 ครั้ง โดยไม่หลั่ง เซียน
วิชา ฮ่องเต้พันสนม นั่นมีอยู่จริงครับ
จะอธิบายหลักของศาสตร์นี้คร่าวๆน่ะครับ
การ ฝึกฝนตนเองเพื่อแปรเปลี่ยน พลังทางเพศ ให้กลายเป็น พลังปราณ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของ การบำเพ็ญ และ การพัฒนาทางจิต ประสบการณ์ในการฝึกฝนเพื่อเปลี่ยน พลังทางเพศ ให้เป็น พลังปราณ ที่นำมาถ่ายทอดในที่นี้เป็นประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ กับปัจเจก และมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
หรือที่เค้าเรียกว่าบำเพ็ญภาวนา ฝึกตบะน่ะแหละ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรไปชั่วชีวิตน่ะ
สุดยอดของวิชานี้คือ การเสร็จแบบไม่หลั่ง !
หลายคนอาจจะสงสัยเฮ้ยไม่คือไม่ปล่อยออกมาเหรอ ไม่ใช่ครับ
จากมีผู้เคยทำได้ได้อธิบายว่า
แบบทั่วไป - เสียว > หลั่ง > สะท้าน
แบบสกิลไม่หลั่ง - เสียว > สะท้าน
ต่อให้ 10 รอบก็ไม่มีล้มครับถ้าทำสำเร็จ แถมทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
ปราชญ์จีนโบราณได้เฝ้าสังเกตพลังเพศของมนุษย์อย่างละเอียด และลึกซึ้ง พร้อมทั้งได้บัญญัติหลักการควบคุมพลังเพศให้ใช้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายสูง สุด โดยเชื่อว่า พลังเพศนั้น ต้องควบคุมได้โดยใช้การหายใจเป็นหลัก เหมือนเช่นเดียวกับทฤษฎีหลอดกาแฟ ที่หากใช้นิ้วปิดปลายรูบน น้ำในหลอด การจะหยุดนิ่งชะลอการไหลได้ ดังนั้น ศาสตร์วิชาการหายใจจึงจำเป็นควบคู่กับการร่วมเพศ เมื่อเราควบคุมระดับลมหายใจเข้า การอัดอั้นเก็บลมไว้ให้แน่นในบริเวณระดับต่างๆ ในร่างกาย ย่อมนำมาซึ่งการสามารถควบคุมแรงดันและการหมุนเวียนของเหลวในร่างกายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำอสุจิซึ่งมีธรรมชาติเป็นหยินกล่าวคือ ไวเหมือนปรอท ยากแก่การทำให้หยุดนิ่ง ขึ้นเร็ว ลงเร็ว เมื่อได้รับการกระตุุ้นเพียงเล็กน้อย ดังนั้น การหายใจจึงต้องฝึกให้รู้จักเก็บสะสมฟักไว้เป็นเวลายาวนาน อัดลึกลงไปตามลำดับของส่วนล่างของร่างกาย เริ่มต้นจากลมหายใจผ่านจมูก ผ่านหลอดลมหยุดเก็บสถานีแรกที่ลำคอ ต่อมาเลื่อนลงมาเก็บที่ทรวงอก ต่อมาลงที่หน้าท้อง บริเวณสะดือ ต่อมาลงที่ใต้ท้องน้อยใกล้บริเวณอวัยวะเพศ และในที่สุดขั้นสุดท้าย หายใจลึกลงสุดพร้อมกับอัดพลังส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่น ขบฟัน ยันคางติดชิดต้นคอ กลั้นหายใจ กำหมัด เกร็ง แขน ขา ที่สำคัญที่สุดก็คือการขมิบรูปก้นทวารเหมือนดั่งประหนึ่งกั้นแรงเบ่งอุจจาระ เป็นการสร้างสภาวะหยางที่สุดให้แก่ร่างกายคือ ทุกอย่างหดตัวแน่น ดึงกลับเข้าสู่ร่างกายทุกอณู และด้วยมโนจิตให้คิดว่ากำลังขับดันพลังเพศกลับหวนคืนสู่สมองด้านหลังเบื้อง บน โดยผ่านกระดูกสันหลัง โดยให้เพ่งความรู้สึกทั้งหมดไปรวมไว้ที่ปลายก้นกบต่อปลายสุดของกระดูก สันหลังเหมือนประหนึ่งว่า พลังเพศได้ผ่านการทดสอบด้วยปฏิกรณ์พลังปรมาณูพุ่งทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เป็นการควบคุมหรือหมุนกลับพลังเพศแทนที่จะล่มออกปากอ่าว ให้กลับหวนสู่ฟ้า ส่งพลังไปเลี้ยงสมองแทนเรียก หวน-ชิง-โป่ว-เน่า ทำให้กลับมีชีวิตชีวา แจ่มใส และมีเมตตาธรรมขั้นละเอียด
หลักการควบคุมพลังเพศมิให้หลั่งเร็วอีกประการหนึ่งก็คือ การย้ายจุดศูนย์กลางจากหยิน เป็นหยางตำแหน่งใหม่ ก่อนที่จะบรรลุสู่จุดที่ไม่คืนกลับ หรือก่อนสายเกินแก้ (POINT OF NO-RETURN) กรรมวิธีของการฝึกควบคุมพลังเพศนี้เป็นการเน้น การสลาย จุดรวมตัวก่อนจะเกิดการปะทุหรือจุดสุดยอดของการร่วมเพศจากธรรมชาติ ของมนุษย์ที่เวลามีเพศสัมพันธ์นั้น สมองจะลืมตัว จุดศูนย์กลางจะเปลี่ยนจากส่วนบนไปรวมตัวอยู่บริเวณอวัยวะเพศส่วนล่าง ทำให้คนขาดสติ ใจลอย ปริมาณเลือดเหนี่ยวนำให้เกิดประจุหนาแน่นมากเกินที่อวัยวะเพศ
ดังนั้น เมื่อใดที่ผู้ชายเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สามารถจะควบคุมพลังเพศไว้ได้ให้เตรียม ใช้เบรกมือ โดยใช้ฝ่ามือขวาวางบนบริเวณหน้าท้อง แล้วหมุนฝ่ามือลูบหน้าท้องเป็นวงกลมรอบสะดือ พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ และให้ใช้ลมดันพลังส่วนล่าง หวนกลับสู่หน้าท้องแทน เป็นการสลายม็อบที่มาชุมนุมบริเวณอวัยวะเพศให้ย้ายขึ้นมาสู่หน้าท้อง พร้อมกับเป่าระบายลมหายใจออกผ่อนทีละน้อยจนความรู้สึกกลับสู่สภาวะปกติ ก็เท่ากับเราสามารถยืดเวลาลด พลังสนามแม่เหล็กให้อ่อนตัวลงได้
ในขณะเดียวกัน ก็ให้ใช้ลิ้นดุนเพดานในปากพร้อมกับกดปลายลิ้นวนเป็นวงกลม หรือสร้างจุดศูนย์กลางความรู้สึกสอดแทรกขึ้นบนเพดานเพื่อดึงสติ ความรู้สึกตัวกลับมาใหม่เพราะสมองนั้นชาและขาดเลือดไม่หล่อเลี้ยงจึงเป็นการ สร้างขั้วใหญ่ขึ้นมาแทน ความรู้สึกไวต่อการหลั่งเร็วก็จะลดลงได้ หากปฏิบัติและรู้สึกตัวก่อนที่จะสายไปและเป็นการเตือนสติมิให้ตั้งอยู่ใน ความประมาท แต่หลักสำคัญของการแก้ไขอาการหลั่งเร็วของชายนั้นต้องเริ่มต้นอยู่ที่การควบ คุมอาหารมิให้อาหารที่มีปัจจัยหยินเข้ามากำหนดสภาวะเลือดในร่างกายให้เป็น กรดหรือหยินมากไป งดแอลกอฮอล์ งดของหวานลง งดน้ำตาล งดน้ำแข็ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของเชื้ออสุจิให้เป็นหยินมากหรือน้อยแล้ว แต่อุปนิสัยการบริโภคของแต่ละบุคคล
หากเรารับประทานอาหารหยินมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะเป็นการยากเป็นสองเท่าแก่การบรรเทาการหลั่งเร็ว เพราะความเข้มข้นของน้ำอสุจิมีเชื้อพลังหยินสูง เปรียบเสมือนน้ำมันออกเทนสูงไวไฟ ลื่นเหลวยากแก่การควบคุม อาหารที่เป็นหยางจึงเหมาะสำหรับพลังเพศมากกว่าเช่น ซุปเต้าเจี้ยว อมบ๊วยเค็ม รับประทานอาหารที่เป็นพืชราก ขิง หัวผักกาด อาหารหยางจึงเหมาะสมกับพลังเพศธรรมชาติในชายที่พยายามกระจายออกจากศูนย์กลาง แทนที่จะอัดตัวแน่นเข้าหาศูนย์กลาง
ปัญหาพลังเพศหลั่งเร็วเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับรากหญ้าเป็นปัญหาพลังงานสิ้นเปลืองยิ่งกว่าปัญหาน้ำมันแพง
เพราะพลังเพศนั้นมีพลังศักยะพลังแฝงมากกว่าน้ำมันเบนซินเชื้อเพลิงหลายร้อยเท่า
เพราะ เพียงหยดเดียวก็สามารถให้กำเนิดทารกที่จะมีพลังชีวิตอยู่หลายสิบปีต่อไป หรือถ้าหากเทียบกับพลังขับเคลื่อนจรวดยานอวกาศ ก็สามารถขับเคลื่อนพลังไปเกือบถึงดวงจันทร์
ดังนั้นอาการโรคหลั่ง เร็วของสังคมสะท้อนให้เห็นถึงการไม่ประหยัดพลังชีวิต การสูญเสียทรัพย์สินมหาศาลที่จะให้ได้มาซึ่งพลังเพศจากการบำรุงอาหารการกิน อย่างดีราคาแพง แต่ถึงเวลาร่วมเพศกลับใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์ที่ยากกว่าการหาแหล่งทดแทนพลังใหม่ได้
ปัญหาเรื่องพลังเพศเป็นปัญหาระดับโลก เกือบทุกชาติมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหลั่งเร็วของเพศชายที่ปรากฏเป็นข่าวเด่นในยุค ปัจจุบัน สาเหตุที่ไม่น่าแปลกใจเพราะเรารับอารยธรรมและแนวชีวิตแบบชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารการกินแบบอาหารสังเคราะห์ที่ได้รับการพัฒนาจากห้องแล็บจากส่วนผสมเคมี ภัณฑ์ที่นำมาปรุงแต่งในอาหารปรากฏบนหิ้งผลิตภัณฑ์อาหารเกือบ 5,000 ชนิด
สารสังเคราะห์ทุกชนิดนั้นในแง่ปรัชญาตะวันออกถือว่าเป็นหยินคือ
เป็น ผงเคมีภัณฑ์สารสกัด ไม่ว่าจะมีส่วนสูตรอะไรก็ตาม เพราะเริ่มต้นก็เป็นผงสกัดมิได้อยู่ในหน่วยองค์รวมตามกฎธรรมชาติ เมื่อปัจจัยหยินเพิ่มพูนเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับได้ อาหารต่างๆ ก็จะปรากฏอาการผิดปกติทางร่างกาย
ส่วนใหญ่มีอยู่ 2 ระดับคือ
ระดับก่อนเกิด (โซยที) คือระดับธาตุภูมิพลังหยินมากเกินจากเลือดมารดา ทำให้มีความเด่นด้อยทางเพศผิดปกติเช่น เป็นกะเทย เป็นเกย์ เพราะพลังชาร์จฟ้า-ดินในครรภ์ ขั้วฟ้าอ่อนกว่าที่ควร ไม่สามารถดันลงดินมากพอที่จะทำให้อวัยวะเพศชายยื่นแข็งตัวออกจากร่างกายมาก พอ ความเป็นชายจึงต้องลดน้อยเกินไป
ระดับหลังเกิด (เอ๋า-ที) คือระดับธาตุภูมิหยางอ่อนและบวกกับวิถีชีวิตประจำวัน สิ่งแวดล้อมและอุปนิสัยที่เป็นหยินมากเกิน อาหารรสหวาน อาหารสังเคราะห์ ทำงานผิดเวลา ผิดธรรมชาติ เช่น เป็นยามเวลากลางคืน ขับแท็กซี่กะกลางคืน อาชีพนางพยาบาลกลางคืน อาชีพแอร์โฮสเตสบนสายการบินนานาชาติ ทำงานบนตึกสูง อยู่แต่ในห้องปรับอากาศ การระบายลมหมุนเวียนไม่พอเพียง การอาศัยบนพรม ใยสังเคราะห์ การทำงานใกล้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงสูง การใส่กางเกงในใยสังเคราะห์รัดรูป ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การเพิ่มปัจจัยหยินในร่างกาย ในระบบเลือดและในที่สุดจะฝังลึกลงไปในระบบพลังเพศในที่สุด ปรากฏเป็นอาการหลั่งไหล ล่มปากอ่าว อวัยวะเพศไม่แข็งตัวรวมไปถึงการเป็นหมันโดยไม่รู้ตัว
อาการเสื่อมพันธุ์ทางเพศมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่อดีตกาล ปราชญ์จีนจึงให้ความสนใจและเน้นการศึกษาเหตุปัจจัยของพลังเพศเป็นหลัก ได้ผลสรุปว่าในร่างกายมนุษย์เรานี้มีอวัยวะเพศที่สามารถยืดหรือหดตัวได้ การยืดคือพลังหยิน การหดตัวคือพลังหยาง ทั้งสองต้องมีสัดส่วนพอดีและสมดุลเหมือนคุณสมบัติของหูรูดกางเกงที่เมื่อเอว ปรับเปลี่ยนขนาดก็สามารถหดตัวกลับมารัดให้แน่นได้ พลังหดตัวนี้สำคัญมากเป็นหัวใจของพลังชีวิต การร่วมเพศอาจเปรียบเหมือนการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬา กายบริหารต้องกระฉับกระเฉง ว่องไว เร็วแต่ช้าหรือหยุดชะลอได้ ความเร็วแต่หยุดชะลอไม่ได้ ทางพลังเพศถือว่าอันตราย เหมือนการขับรถไม่มีเบรก ถนนลื่น หยุดชะลอไม่ได้ ดังนั้น พลังหยางคือ พลังชะลอการหยุด การแตะเบรก ทำให้เราสามารถควบคุมพลังเพศได้ ปัจจุบันอาหาร ปัจจัยหยินทำให้คนเราไม่มีพลังหยางเหลือพอที่ได้หยุดชะลอควบคุมได้
เราจึงเกิดอาการหลั่งเร็วและล่มปากอ่าว อาหารที่เป็นตัวการสำคัญคือ
น้ำตาลทราย แอลกอฮอล์ สุรา น้ำแข็ง เบียร์ ผลไม้
น้ำผึ้ง ไอศกรีม น้ำมะพร้าว ไขมัน ยาทุกชนิด
สิ่ง เหล่านี้ทำให้เกิดอาการหลั่งเร็วเบื้องต้นคือ ปัสสาวะบ่อย กระเพาะปัสสาวะหลวมไม่สามารถแก้ของเหลวได้ ปัสสาวะไม่มีแรงดัน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ไหลหยดตลอด
รรณกรรมตะวันออกที่เราเห็นว่ามีความสำคัญต่อชีวิตเรามากที่สุด ก็คือ Dao De Jing ที่เขียนโดยปรมาจารย์เล่าจื้อ
ที่คิดว่าสำคัญก็เพราะว่าเราเอามันมาใช้แก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพ เรื่องอาชีพการงาน และเรื่องการดำเนินชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี
Chang San-Feng ใช้แนวคิดของ Dao De Jing สร้างเพลงมวยไทชี่ (ไทเก็ก) ขึ้นมา
แพทย์จีนใช้ Dao De Jing สร้างวิชาสมุนไพร และวิชาแทงเข็มขึ้นมา
นักเคมีจีนใช้ Dao De Jing ทำงานวิจัยและพัฒนา บางอย่างจนเข้าใจ และคาดการณ์ได้ในเรื่องปรากฏการณ์ทางเคมีหลายๆอย่าง
ตำรา Feng Shui (ฮวงจุ๊ย) ก็มาจาก Dao De Jing
Dao De Jing รักษาอาการป่วยได้โดยไม่ต้องพึ่งหมอและไม่ต้องพึ่งยา อาการป่วยที่เราเป็นแล้วรักษาหายหมดด้วย Dao De Jing ก็คือ OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ), นอนไม่หลับ, ปวดหัวไมเกรน, ภูมิแพ้และ panic attack (อาการตกใจกลัวเมื่อตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก)
และตอนนี้เรากำลังใช้ Dao De Jing เพื่อสร้าง elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา Alchemy (วิชาเล่นแร่แปรธาตุ)
วิชา Alchemy ของฝรั่ง เขาพยายามเปลี่ยนโลหะราคาถูกๆให้เป็นทองคำ แต่วิชา Alchemy ของจีนเขาพยายามเปลี่ยน generative force (พลังทางเพศที่ใช้สืบพันธ์) ให้กลายเป็น elixir of life ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า sublimation (การเปลี่ยน sexual energy ให้เป็นพลังความเปล่งปลั่งในชีวิตและเป็นการเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ แทนที่จะเอาไปทิ้งให้สูญเปล่า) เป้าหมายในชีวิตของเราก็คือ ?ยิ่งอายุเยอะมากๆก็ยิ่งหน้าตาเด็กกว่าเดิมและมีพลังสมองดีกว่าเดิม?
Dao De Jing ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้เมื่อหลายพันปีมาแล้ว เป็นต้นกำเนิดของวิชาการแพทย์ของจีน เนื่องจากเมื่ออ่าน Dao De Jing ดีๆ พวกปราชญ์สมัยโบราณ ตระหนักว่า ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้แบบ multi-level มากๆ นั่นก็คือสอนรัฐศาสตร์ จริยธรรม แต่ในขณะเดียวกัน "ใส่รหัส" ในคำสอนไว้ ทำให้ตีความยากๆว่า แท้จริงแล้ว
"แก่นแท้ของ Dao De Jing กลับกลายเป็นคำสอนเรื่องกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ"
ซึ่งผู้ที่ตีความได้นั้น สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ดังต่อไปนี้
1. สร้างเพลงยุทธ์ (สำนักบู๊ตึง คิดเพลงยุทธ์ (มวยไทชี่ (ไทเก็ก) มาได้จากการอ่าน Dao De Jing)
2. สร้างวิชาการแพทย์ ...ใน Dao De Jing ถ้าอ่านดีๆ จะมีบทที่สอนการฝึกลมปราณ ....ในวิชาการแพทย์ของจีน เขาว่า คนเราป่วยเพราะ qi imbalance (การที่ลมปราณในอวัยวะต่างๆไม่สมดุลย์กัน) วิชาแทงแข็ม หรือวิชาสมุนไพร หรือ Qi Gong (การฝึกพลังลมปราณ) เป็นการแก้ไขความไม่สมดุลย์ของลมปราณ จึงนำมาใช้รักษาโรคได้
ปรมาจารย์เล่าจื้อจะใช้ paradox (ปฏิทรรศน์) คือสิ่งที่ดูเหมือนไร้สาระแต่จริงๆแล้วมีสาระ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่านักพรตเต๋าจะสอน esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) ให้แก่คนที่สามารถตีความ paradox ได้เท่านั้น เพราะว่านักพรตเต๋าไม่ต้องการให้วิชาอันมีค่าไปตกอยู่กับบุคคลที่สวรรค์มิ ได้เลือกมาให้ได้วิชาอันมีค่าไป ซึ่งในกรณีของ Dao De Jing นั้น ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนใส่รหัสเพื่อหลอกให้พวกบัณฑิตตีความเป็น ?รัฐศาสตร์? หรือ ?จริยธรรม" ไป แต่แท้จริงแล้ว Dao De Jing คือศาสตร์แห่งวิชา ?พลังลมปราณ? และศาสตร์แห่ง ?การทำสมาธิเพื่อฝึกวิชา Alchemy?
เมื่อเราเรียน paradoxes จากนักพรตเต๋าแล้ว เราจึง ?นิสัยเสีย? เราไปตอบคำถามเรื่องวิธีการแก้ปัญหาเรื่อง ?ความสับสนในชีวิต? ซึ่งเราเคยมีปัญหาประเภทนี้ แล้วเราแก้ไขได้สำเร็จโดยใช้ Dao De Jing แต่เราตอบเป็น paradox ถ้าใครอ่าน แล้วไม่เข้าใจ paradox ของเรา เขาก็จะเข้าใจว่า
?เราพูดจาเพ้อเจ้อ?
นี่แหละคือแนวคิดหลัก ในการถ่ายทอดวิชาของนักพรตเต๋า
ถ้า ใครอ่านประวัติศาสตร์จีนหลายๆสมัย ค้นๆไปจะพบข้อมูลที่น่าทึ่ง เกี่ยวกับเล่าจื้อ นั่นก็คือ รวมเวลาที่เขาไปปรากฏตัวทุกหนทุกแห่ง แล้วบวกกันได้ประมาณ 300 ปี!
เราจึงพอที่จะคาดเดาได้ว่า material immortality (ความเป็นอมตะหรือเป็นเซียนในเชิงสสารหรือสรีระ) เป็นไปได้ในระดับหนึ่ง นั่นก็คือ พวกนักพรตเต๋ามีศาสตร์เร้นลับในการที่จะคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล แต่เมื่อไปสู่จุดหนึ่งก็จะต้องแปลงสภาพจาก material immortality ให้กลายเป็น spiritual immortality (นั่นก็คือ สละสังขาร แล้วกลายเป็นเซียน ในสภาพของวิญญาณ ที่คล้ายๆกับพระโพธิสัตว์)
เรา ค้นพบว่าคำสอนของเต๋าที่พร่ำสอนเกี่ยวกับจริยธรรม รัฐศาสตร์ หรือคุณงามความดีนั้น แท้จริงแล้วเขียนหลอกให้บัณฑิตเข้าใจไข้วเขว ผู้สอนตั้งใจสอนศาสตรเร้นลับแห่ง alchemy วิชาเล่นแร่แปรธาตุ) นั่นก็คือการผสาน jing (พลังทางเพศที่ใช้สืบพันธ์), qi (พลังลมปราณ), shen (วิญญาณ) ให้กลายเป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อนำไปสู่ immortality ความเป็นเซียน)
เวลาหมอเอาคนไข้นั่งไขว่ห้างแล้วเคาะตรงเหนือหัวเข่าแล้วขาคนไข้เตะออกไปได้นั้น อาการแบบนี้เขาเรียกว่า reflex
การถึงจุดสุดยอด เป็น orgasm reflex
การหลั่งน้ำอสุจิเป็น ejaculation reflex
orgasm reflex เกิดก่อน แล้วอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ejaculation reflex จึงเกิดขึ้น
ใน ผู้ชายหลายๆคนที่ไม่ได้ฝึกฝน reflexes ทั้งสองอย่างถือว่า involuntary (ควบคุมด้วยจิตไม่ได้) แต่สำหรับผู้ชายที่ฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี เขาสามารถเกิด orgasm reflex ได้จนถึงจุดสุดยอดได้ซ้ำๆกันหลายๆสิบครั้ง (เหมือนกับ multiple orgasm ของสตรี) และผู้ชายที่ฝึกมาเป็นอย่างดีสามารถ "หลีก" ไม่ให้ไปโดน ejaculation reflex ดังนั้น ผู้ชายประเภทนี้จึงสามารถมี sex จนถึงจุดสุดยอดได้วันละหลายๆครั้งโดยไม่ต้องหลั่งน้ำอสุจิแต่อย่างใด ร่างกายจึงไม่อ่อนเพลีย
วิธีการ "หลีก" ไม่ให้โดน ejaculation reflex นั้น มันคล้ายๆกับ "ขับรถไปตามทางเบี่ยง" เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นนั่นเอง
การ ฝึกจน "ขมิบ" น้ำกามได้ เหมือนกับขมิบฉี่ เช่นนี้ ทำให้ผู้ชายสามารถทำรักได้ไม่เหน็ดเหนื่อยวันละหลายๆสิบรอบ หรือทำได้จนกว่าผู้หญิงจะยอมแพ้ไปเอง โดยที่ผู้ชายมีความสุขมากๆได้โดยไม่ต้องหลั่งน้ำอสุจิแต่อย่างใด ขอย้ำว่า
"สุขมากมายหลายเท่ากว่าเสียวถึงจุดสุดยอดโดยหลั่งน้ำอสุจิเสียอีก"
ผู้ชาย ที่ไม่เข้าใจศาสตร์เร้นลับอันนี้ จะหลงเข้าใจผิดว่าความสุขของผู้ชายก็คือการหลั่งน้ำอสุจิยาวๆ เหมือนฉี่ยาวๆ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ชายที่หลั่งน้ำอสุจิมากๆ ตอนหลั่งมันจะสุข แต่หลังจากนั้นแล้วร่างกายก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและจะเกิดอาการซึมเศร้า ถ้าหักโหมมากๆสมองก็จะตื้อคิดอะไรไม่ออก iq จะลดฮวบอย่างรวดเร้ว ถ้ารีดน้ำกามออกมาหลายๆรอบในวันเดียวกันแล้วยังพยายามจะเสียวจนเสียวแต่ไม่ มีน้ำเหลือที่จะหลั่ง (เหือดแห้งหมดสำหรับวันนั้น) การทำเช่นนี้บ่อยๆ ถ้าผู้ชายคนนั้นยังไม่ซูบตายก่อนวัยอันควร เมื่อมีชีวิตเข้าสู่วัยทอง สิ่งที่จะประสบพบพานอย่างแน่นอน 5,000 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็คือ "ต่อมลูกหมากอักเสบ" !!!
นักพรตเต๋าได้แนวคิดนี้มาโดยการสังเกตการณ์เห็นว่าสัตว์ตัวผู้หลายๆชนิดเมื่อผสมพันธ์ไปแล้ว (ปล่อยพลังชีวิตไปแล้ว) มันก็ต้องตาย
แต่ การฝึกขมิบน้ำกามได้ด้วยการฝึก "ควบคุม" reflexes ของตนเองแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะอายุยืนและหน้าเด็กตอนแก่เสมอไป จะฝึกให้อายุยืนและหน้าตาอ่อนวัยไปตลอดกาลได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึก alchemy (วิชาเล่นแร่แปรธาตุ) ให้สำเร็จเสียก่อน
alchemy ในยุโรปสมัยโบราณ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนโลหะราคาถูกให้เป็นทองคำ ส่วน alchemy ในแถบตะวันออกเช่นจีนหรืออินเดียมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง elixir of life (ยาอายุวัฒนะ)
สายจีนวิชานี้มีชื่อว่า huan jing (the reversal of the semen การใช้พลังลมปราณขับเคลื่อนน้ำอสุจิให้กลับเข้าไปโคจรในระบบกำลังภายใน) เป็นวิชาเร้นลับของนักพรตเต๋าภาคเหนือของจีน
ส่วนนักพรตเต๋าภาคใต้ ของจีนฝึก alchemy โดย take a vow of celibacy (ถือเพศพรหมจรรย์ คือไม่มี sex) เหมือนๆกับพระในศาสนาพุทธแบบเถรวาทของไทยนั่นเอง
huan jing มีหลักการคือการผสาน jing (พลังทางเพศ), qi (พลังลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) เข้าด้วยกัน
ที่เราไม่แปลตรงตัวคำว่า jing เป็นน้ำอสุจิ นั่นก็เพราะว่าสตรีก็มี jing เหมือนกัน
ผู้หญิง หลายๆคนเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วจะมีอาการไม่เหมือนกัน แท้จริงแล้วผู้หญิงก็มี ejaculation reflex เหมือนๆกับผู้ชาย แต่หลั่งเป็นน้ำข้นๆ (ที่เป็นพลังชีวิต) ไม่ใช่น้ำอสุจิ
ผู้หญิงแต่ ละคนบีบรัดกล้ามเนื้อภายในคนละแห่ง คนที่เวลาเสียวมากๆแล้วขมิบน้ำข้นๆไว้ได้เหมือนขมิบฉี่ จะทำรักและถึงจุดสุดยอดได้หลายๆครั้ง (multiple orgasm) โดยไม่เหนื่อยมากนัก
ส่วนผู้หญิงที่เสียวมากๆได้ง่ายๆและปล่อยน้ำข้นๆ (jing) ให้ทะลักออกมาเหมือนน้ำพุ จะนอนแผ่หมดแรงไปครึ่งค่อนวัน หรือนานกว่านั้น
ชาย ใดที่ได้ดูดดื่มน้ำข้นๆของสตรี (ในคัมภีร์เขาเรียกว่า "ดื่มน้ำอมฤตจากบ่อสวรรค์") ถ้าผู้ชายรู้ศาสตร์แห่งการโคจรลมปราณ จะนำพลังนี้ไปเพิ่มกำลังภายในให้แก่ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว จนย่นระยะเวลาในการฝึกวรยุทธ์ได้ คล้ายๆกับ vampire ที่ดูดเลือด ยิ่งดูดจนช่องคลอดสตรีเหือดแห้งไป ผู้หญิงก็จะสูญเสียพลังจนแก่เฒ่าเร็วและตายเร็วขึ้นมากเท่านั้น
และ ในทำนองเดียวกัน หญิงใดที่ดูดน้ำอสุจิของผู้ชายไปจนเหือดแห้งตัวเธอก็จะยิ่งเปล่งปลั่ง แต่ผู้ชายจะซูบตายเร็วมากๆ เนื่องจากว่าการที่น้ำอสุจิออกมาโดยการถูกแรงดูดนั้น มันมีปริมาณมากกว่าหลั่งจากการร่วมเพศ
เรายอมให้ผู้หญิงดูดเราได้แค่เป็นการหยอกล้อกันเท่านั้น แต่จะไม่ยอมให้น้ำออกมาคาปากเธออย่างเด็ดขาด
แท้ จริงแล้วการทำรักที่ยุติธรรมทั้งหญิงและชายควรฝึกวิชาจนเก่งพอๆกัน จะได้ช่วยกันขับเคลื่อนพลังลมปราณให้กันและกันเพื่อให้คงไว้ซึ่งความอ่อนวัย ตลอดกาล
ส่วนทางสายอินเดีย เขาเรียกวิชานี้ alchemy ที่ว่า นี้ว่า tantra
เราวางแผนผัง (ในคัมภีร์) ที่แสดงเส้นทางเดินลมปราณของสายจีนกับสายอินเดียเข้าใกล้ๆเพื่อเปรียบเทียบ กัน และประหลาดใจที่ว่า "มันเหมือนกัน" จะต่างกันก็คือว่าจุดชีพจรต่างๆบนเส้นทางเดินเลือดลมของจีนนั้น เขียนเป็นอักขระจีน เป็นภาษากวีเช่น จุดที่อยู่ระหว่างไต 2 ข้าง เรียกว่า "มิ่งเหมิน" แปลว่าประตูชีวิต เนื่องจากนักพรตเต๋าเชื่อว่า ไตทั้ง 2 ข้างที่แข็งแรงเป็นประตูที่เปิดไปสู่ชีวิตอันผาสุข และคนที่ไตไม่แข็งแรงจะมีแต่ความกังวลแบบวิตกจริตราวกับว่าไม่ได้เปิดประตู ไปสู่ความมีชีวิตอันผาสุขนั่นเอง
ส่วนในหนังสือกำลังภายในที่ขายใน เมืองไทย เขาชอบพูดว่า "จุดเป็น" และ"จุดตาย" เราไปเจอในหนังสือภาษาอังกฤษคนจีนเขียนไว้ว่า 'birth gate' คงเท่ากับ "จุดเป็น" แต่มันอยู่ที่ทวารหนัก เราคิดยังไม่ออกว่าทำไมเขาตั้งชื่อแบบนี้น่ะ และเขาพูดดว่า "death gate" มันคงเท่ากับ "จุดตาย" เขาว่าจุดนี้มันอยู่ที่โคนอวัยวะเพศชายเอ่ออันนี้เข้าใจง่ายว่าทำไมเขาเรียก แบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะนักพรตเต๋าถือว่าถ้าน้ำอสุจิผ่านจุดนี้ไปได้ก็คือผู้ชายตาย ผ่อนส่งนั่นเอง
ส่วนจุดชีพจรของอินเดียนั้น แทนที่จะเป็นอักขระจีนที่เป็นภาษากวี มันกลับเป็นภาษาสันกฤตที่เป็น abode สถานที่ประทับของพระเจ้าแต่ละองค์ ซึ่งมีระบบการสร้างและการทำลายเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบจักรวาล
เช่น ที่สะดือเป็นที่ซึ่งพระพรหมประทับอยู่ ที่ perineum หรือฝีเย็บ หรือที่จีนเรียกว่า hui yin) ซึ่งอยู่ระหว่างอวัยวเพศกับทวารหนัก เป็นจุดที่ Shakti ประทับอยู่
Shati คือเจ้าแม่กาลี เทวีองค์นี้มีชื่อหลายๆชื่อคือ Durga, Kali, Parvati และ Sati พระองค์เป็นพระชายาของพระศิวะนั่นเอง
ส่วนจุดกลางกระหม่อม (ของจีนเรียกว่า bai hui) เป็นจุดที่ Shiva (พระศิวะ) ประทับอยู่
ส่วน เรื่องการขับเคลือนลมปราณไปทางทิศไหนนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน หากแต่สายจีนอธิบายเป็นภาษาของนักพรตเต๋า ส่วนสายอินเดียอธิบายเป็นภาษาที่ใช้ในศาสตร์โยคะ
ความคล้ายคลึงกันเป็นไปได้ 2 ความเป็นไปได้คือ
1 Great men think alike (บุคคลผู้ยิ่งใหญ่มีแนวคิดที่คล้ายๆกัน) คล้ายๆกับที่ Isaac Newton กับ Liebnitz คิดวิชา calculus ขึ้นมาได้พร้อมๆกันโดยไม่ได้มีการนัดหมายกันแต่อย่างใด ซึ่งยังมีหลักฐานในเรื่องนี้คือจดหมายที่ทั้งสองคนเขียนถึงกันเรื่อง calculus (มะใช่เรื่อง sex นะอิๆๆๆ) เป็นภาษา Latin ที่เก็บอยู่ใน British Museum จนถึงทุกวันนี้
2 จีนกับอินเดียแลกเปลี่ยนวิชา alchemy กันเมื่อสมัยที่มีการค้าผ้าไหม บนเส้นทางที่มีการค้าผ้าไหมกันนั่นเอง
เส้น ลมปราณเส้นใหญ่ที่พลัง Shakti วิ่งไปหาพลัง Shiva เพื่อไปสมสู่กันนั้น อยู่ตามแกนกระดูกสันหลัง พวก tantra ในสายอินเดียเรียกมันว่า kundalini นักพรตเต๋าในสายจีนเรียกมันว่า Du Mai
ในบทที่ 3 ของ Dao De Jing ปรมาจารย์เล่าจื้อกล่าวถึงพลังที่โคจรใน Du Mai เอาไว้ในแต่ท่านเขียน "ใส่รหัส" เอาไว้เพราะไม่อยากให้สามัญชนธรรมดาทั่วๆไปได้วิชานี้ไป
ผู้ คงแก่เรียนหลายๆคนอ่านข้อความที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้ แล้วหลงเข้าใจผิดคิดว่า เป็นเรื่อง "จริยธรรม" หรือเป็นเรื่อง "รัฐศาสตร์" แต่อนิจาเล่าจื้อเขียนเรื่อง alchemy ล้วนๆเลย
นักพรตเต๋ามักจะเขียนคัมภีร์โดยใช้ paradox (ปฏิทัศน์) ให้คนอ่านมึนหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง huan jing หรือ alchemy
นัก พรตเต๋าแกล้งเขียนเหมือนคนบ้าหรือคนโง่ เพื่อให้คนทั่วๆไป (ที่เหมือนบัวจมอยู่ใต้น้ำ) อ่านแล้วจะหัวเราะงอหายคิดว่าเป็นเรื่องโง่ๆไร้สาระ นักพรตเต๋าเจตนาทำเช่นนี้เพื่อจะได้ให้มีคนน้อยคนนักที่จะตีความคัมภรีได้ แตกฉาน และได้วิชานี้ไปคนที่จะตีความคัมภีร์แตกได้และได้วิชาสุดนี้ไปจะต้องเป็นคน ที่ได้รับพรจากสวรรค์เท่านั้น
นักพรตเต๋าเขียนคำสอนไว้ในคัมภีร์ โบราณว่า ให้ผู้ชายมี sex ให้มากที่สุด แต่โดยไม่หลั่งน้ำอสุจิ เขาสอนเช่นนั้น เพื่อให้คนคิดว่า เขาสติไม่ดี และคำสอน เป็น "สิ่งที่ไร้ค่า" ผู้คนส่วนใหญ่จะได้เอาคัมภีร์ไปทิ้งลงถังขยะ
ใน ลัทธิเต่าเราเรียกคำสอน แบบนี้ว่า paradox (ปฏิทรรศน์) แต่คนที่ตีความ paradox ได้ จะรู้ว่า แท้จริงแล้ว มันมีวิชาเร้นลับที่เรียกว่า huan jing (the reversal of the semen) คือการใช้สมาธิและพลังลมปราณดึงน้ำกาม กลับคืนสู่ศูนย์รวมกำลังภายใน
ผู้ชายที่ฝึกวิชา huan jing ของนักพรตเต๋าสำเร็จ สามารถถึงจุดสุดยอดได้วันละหลายสิบหรือหลายร้อยครั้ง แต่ โดยไม่หลั่งน้ำอสุจิ และไม่หมดแรงด้วย
และความสามารถในระดับนั้น จะได้มา ก็ต้องสะสมพลังลมปราณ โดยไม่นำสารพิษเข้ามาในร่างคือไม่กินน้ำตาลนั่นเอง
จริงๆ แล้ว เรารักษาอาการป่วยของเราในอดีตได้ โดย
1 หยุดกินน้ำตาล
2 มี sex ให้ถึงจุดสุดยอดได้วันละหลายครั้ง โดยใช้วิชา huan jing สกัดจุดตาย ไม่ให้หลั่งน้ำอสุจิ ไม่ให้หมดแรง
หมาย เหตุ คนที่ศึกษาแต่วิทยาศาสตร์ของฝรั่งจะแย้งว่า ถ้าผู้ชายไม่ได้หลั่งน้ำอสุจินานๆเขาจะฝันเปียกหรือน้ำอสุจิมันจะไหลออกไป เองด้วยวิธีการบางอย่าง
แต่เรารับรองได้ว่า ผู้ชายที่ไม่ได้ฝึก alchemy เมื่อไม่หลั่งน้ำอสุจินานๆจะมีอาการถ่วงๆที่ลูกอัณฑะแล้วก็จะฝันเปียกจริงๆ แต่ผู้ชายที่ฝึก alchemy สำเร็จจะไม่มีอาการถ่วงๆหนักๆที่ลูกอัณฑะเนื่องจากเขามีวิธีการขับเคลื่อน พลัง (ทางเพศ) นี้ให้ไปหล่อเลี้ยงร่างกายในจุดต่างๆให้ร่างกายมีความเปล่งปลั่งได้นั่นเอง
เอามาฝากครับ วิธีการกดจุดหยุดหลั่งแบบเต๋า สำหรับผู้ที่ยังฝึกไม่สามารถควบคุมการหลั่งใหอยู่ใต้อำนาจจิตใจได้
หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่ากดตรงโคนของแท่งของเราเหมือนบีบหลอดดูดแต่จริงๆไม่ใช่
เค้าเรียกวิธีถนอมพลังแบบเต๋า(ลัทธิเต๋า) ''หลั่งเหมือนไม่หลั่ง'' เวลาใกล้เสร็จให้คุณใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดจุดบริเวณกึ่งกลางใต้ลูกอัณฑะ กดจนเราเสร็จแล้วค่อยๆคลายนิ้ว เราจะเสร็จแต่ไม่มีน้ำออกแต่บางครั้งถ้าอั้นไว้มากก็อาจมีน้ำออกมานิดหน่อย แต่ที่สำคัญคือเราไม่เหนื่อย ไม่เพลีย
บริเวณดังกล่าวคือ บริเวณที่อยู่ระหว่างถุงอัณฑะกับทวารหนัก ช่วงประมาณ 2 นิ้วครับ บริเวณนั้นเป็นส่วนของท่อนำอสุจิที่จะผ่านเข้ามารวมในท่อปัสสาวะในส่วนลำกล้องอีกที
วิธีก็คือเวลาที่กำลังจะถึงจุดสุดยอด คือเวลาที่เรารู้ตัวว่าจะหลั่ง ให้กดตรงจุดในภาพที่บอกไว้ด้านบนด้วยนิ้วซักสองนิ้วที่สามารถกดได้ถนัดเช่น นิ้วชี้กับนิ้วกลางด้วยน้ำหนักพอประมาณเพียงให้เพื่อกั้นช่องทางการเดินของน้ำอสุจิที่จะออกมาน่ะครับ กดไว้ตลอดเวลาที่กำลัง climax เมื่อผ่านช่วงเวลาที่เหมือนจะหลั่งเสร็จแล้วจึงคลายการกดครับ ถ้ากดได้ถูกจะไม่มีน้ำออกมาแม้แต่หยดเดียว แต่ถ้าพลาดก็อาจออกมาได้บ้าง
แก้ไขล่าสุดโดย NIGPO เมื่อ Tue May 19, 2015 5:17 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
เเต่เมื่อก่อนผมเคยฝึกเเละทำได้นะครับ เเต่ผมว่่าไม่ยุ่งกับมันเลยดีที่สุดครับ
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
เคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้วเหมือนกันครับ ไม่เคยลอง
แต่เท่าที่ปฏิบัติตามหลักหมอเขียวเรื่องอาหารปรับสมดุลร้อนเย็น (หลักการเหมือนหยินหยาง)
ก็ส่งผลดีต่อร่างกายมาก ๆ เลยนะครับ คือไม่อ่อนเพลีย ไม่แน่นท้อง หลับสบายขึ้น
ส่วนเทคนิคที่ใช้เพื่อชะลอการหลั่งก็น่าจะมีประโยชน์นะครับ
แต่เท่าที่ปฏิบัติตามหลักหมอเขียวเรื่องอาหารปรับสมดุลร้อนเย็น (หลักการเหมือนหยินหยาง)
ก็ส่งผลดีต่อร่างกายมาก ๆ เลยนะครับ คือไม่อ่อนเพลีย ไม่แน่นท้อง หลับสบายขึ้น
ส่วนเทคนิคที่ใช้เพื่อชะลอการหลั่งก็น่าจะมีประโยชน์นะครับ
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
อ่อ แต่ที่ควรระวังคือ เรื่องอาหารหยิน/หยางเนี่ยแล่ะครับ
เพราะแนวคิดนี้มาจากเมืองจีนซึ่งมีภูมิอากาศหนาว
การรับประทานอาหารที่มีความเป็นหยางสูง (ฤทธิ์ร้อน)
ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่คนในภูมิอากาศแบบนั้น
แต่จะไม่เหมาะกับเมืองไทย (ยกเว้นช่วงหน้าหนาว)
ผมเน้นกินอาหารฤทธิ์เย็น และปรับสมดุลด้วยธัญญพืช และงดเนื้อสัตว์ พบว่าได้รับผลดี
แต่ตอนที่อากาศเปลี่ยนแปลง หรือทำงานในห้องแอร์นานๆ กินของฤทธิ์ร้อน (ขิง พริกไทยดำ กระเทียม)
ก็ช่วยได้ โดยไม่จำเป็นต้องกินของแพง ๆ พวกโสม ซุปไก่ รังนก สมุนไพรจากต่างประเทศ
โดยอาศัยแนวคิดว่า ของที่ดีคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ตามธรรมชาติ หาได้ง่ายครับ
ดังนั้น ไม่มีสูตรตายตัว ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ สภาพบุคคล และสิ่งแวดล้อม ณ ตอนนั้นๆ ครับ
เพราะแนวคิดนี้มาจากเมืองจีนซึ่งมีภูมิอากาศหนาว
การรับประทานอาหารที่มีความเป็นหยางสูง (ฤทธิ์ร้อน)
ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่คนในภูมิอากาศแบบนั้น
แต่จะไม่เหมาะกับเมืองไทย (ยกเว้นช่วงหน้าหนาว)
ผมเน้นกินอาหารฤทธิ์เย็น และปรับสมดุลด้วยธัญญพืช และงดเนื้อสัตว์ พบว่าได้รับผลดี
แต่ตอนที่อากาศเปลี่ยนแปลง หรือทำงานในห้องแอร์นานๆ กินของฤทธิ์ร้อน (ขิง พริกไทยดำ กระเทียม)
ก็ช่วยได้ โดยไม่จำเป็นต้องกินของแพง ๆ พวกโสม ซุปไก่ รังนก สมุนไพรจากต่างประเทศ
โดยอาศัยแนวคิดว่า ของที่ดีคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ตามธรรมชาติ หาได้ง่ายครับ
ดังนั้น ไม่มีสูตรตายตัว ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ สภาพบุคคล และสิ่งแวดล้อม ณ ตอนนั้นๆ ครับ
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
ไอ้ย่ะ ได้ความรู้มากครับ ขอบคุณมากครับผม
Triumphz- จำนวนข้อความ : 181
Join date : 18/04/2015
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมหลุดไป ผม fab พอใกล้เสร็จก็ลองกดจุดที่อยู่ระหว่างอัณฑะกับรูทวาร
ปรากฏว่า ก็ยังหลั่งเหมือนเดิมครับ
ปรากฏว่า ก็ยังหลั่งเหมือนเดิมครับ
tuix- จำนวนข้อความ : 59
Join date : 16/01/2015
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
น่าสนใจมากครับ อึด ทนทาน พันสนมเลยทีเดียว
แต่อะไรที่มากไป น่าจะเป็นผลเสียนะ
nofap ต่อไป
แต่อะไรที่มากไป น่าจะเป็นผลเสียนะ
nofap ต่อไป
Tee Tee- จำนวนข้อความ : 73
Join date : 04/02/2015
Age : 41
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
อืมขอบคุณที่ชี้เเนะครับ เเต่ที่ผมเคยฝึก ไม่ได้กดที่อัณฑะครับ ใช้กำลังภายใน(มั้ง) เเล้วมันจะไม่หลั่ง ไม่เหนื่อย จริงๆครับ เเต่เป็นเเค่การทดลองนะครับ
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
แต่ก่อนผมก็พยายามฝึกอยู่นะวิชานี้น่ะ ตอนนั้นกดแล้วมันก็หลั่งเหมือนกันแต่มันแค่หยดๆออกมา
เห็นว่ามันต้องเกร็งพลังด้วยวุ่นวายใหญ่เลย ตอนนี้เลิกฝึกไปละ เพราะคิดว่าคงไม่มีเมียได้ถึงพันคนอย่างฮ่องเต้หรอก 555
เลยมาเข้าร่วม Nofap ดีกว่า
เห็นว่ามันต้องเกร็งพลังด้วยวุ่นวายใหญ่เลย ตอนนี้เลิกฝึกไปละ เพราะคิดว่าคงไม่มีเมียได้ถึงพันคนอย่างฮ่องเต้หรอก 555
เลยมาเข้าร่วม Nofap ดีกว่า
Vaquero-Art- จำนวนข้อความ : 14
Join date : 26/04/2015
Age : 40
Re: อยากถามผู้รู้ว่าวิชานี้มันมีจริงหรือเปล่าครับ?
ผมเคยหลั่งนะ หลั่งแค่น้ำใสๆเอง
blackman90- จำนวนข้อความ : 129
Join date : 23/03/2016
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ