[เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
3 posters
หน้า 1 จาก 1
[เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
“เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์*
ในความเข้าใจของผม “ศาสตร์ชะลอวัย” ในระดับชาวบ้านของโลกตะวันตกในยุคบุกเบิกนั้น อิงอยู่กับภูมิปัญญาเร้นลับและโบราณของศาสตร์ตะวันออกอย่าง วิชาโยคะ โดยเริ่มต้นจากหนังสือเล่มหนึ่งของปีเตอร์ เคลเดอร์ (Peter Kelder) ชื่อ “The Eye of Revealation” อันเป็นหนังสือเล่มบางๆ เพียงไม่กี่สิบหน้าที่ตีพิมพ์ออกมาในปี ค.ศ. 1939 (ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นที่แพร่หลายในชื่อ “Ancient Secret of the Fountain of Youth” ในปี ค.ศ. 1985)
“คำนำ” ของผู้จัดพิมพ์ที่ได้นำหนังสือคลาสสิกเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ มาตีพิมพ์ใหม่ได้กล่าวถึงหนังสือเล่มบางๆ เล่มนี้ว่า “นี่เป็นหนังสือที่น่าอัศจรรย์เล่มหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่หนังสือสำหรับคนทุกคน หากเป็นหนังสือสำหรับคนที่เชื่อว่าคนเราสามารถชะลอความแก่ได้เท่านั้น”
“...ถ้าคุณเชื่อหรือยึดติดกับวิธีคิดเก่าๆ ว่าการชะลอความแก่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การอ่านหนังสือเล่มนี้จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
“...เท่าที่ทราบ หนังสือเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ เป็นข่าวสารอันทรงคุณค่าจะหาสิ่งใดเปรียบได้ ที่เขียนเป็นอักษรออกมาจำนวนหนึ่งในหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่เปิดเผย เคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตในการรักษาความเป็นหนุ่มสาว มีสุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตชีวาตราบนานเท่านาน”
“...เคล็ดวิชาเร้นลับนี้ ได้สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่วิหารลี้ลับในแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยสู่โลกตะวันตกเป็นครั้งแรก โดยหนังสือของปีเตอร์ เคลเดอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1939 แล้วถูกลืมไปเป็นเวลานานปี ทางสำนักพิมพ์ถึงต้องนำหนังสือเล่มนี้มาจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่”
“...มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าเรื่องราวของผู้พันแบรดฟอร์ด ในหนังสือเล่มนี้ของเคลเดอร์ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งหรืออิงมาจากเรื่องจริงผสมแต่ง แต่ทางผู้จัดพิมพ์สามารถยืนยันได้ว่าประสิทธิผลของ กระบวนท่า 5 กระบวนท่า (The Five Tibetan Rites) (บางทีก็เรียกว่า “The Five Rites” หรือ “The Five Tibetans” หรือ “The Five Rites of Rijuvenation” แต่ปัจจุบันนี้นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “T5T”) ของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตอันนี้มีอยู่จริง แม้ว่าอาจจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะทำให้ผู้ฝึกอ่อนเยาว์ลง 50 ปี และเปลี่ยนโฉมในชั่วข้ามคืนได้ แต่ทางผู้จัดพิมพ์สามารถรับรองได้ว่า มันจะทำให้ผู้ฝึกดูหนุ่มดูสาวขึ้น รู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น รวมทั้งมีความคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน ถ้าผู้นั้นฝึก “5 กระบวนท่า” นี้ทุกๆ วัน...”
ถ้าหาก “5 กระบวนท่า” (The Five Rites หรือ T5T) ของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตนี้ได้ผลจริงๆ เราก็คงต้องตั้งคำถามต่อไปว่า มันได้ผลอย่างไร และทำไม คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ก็คือ พลังปราณ หรือ พลังจักรวาล นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้สามารถวัดทางอ้อมได้แล้วในรูปของรังสีออร่า เพราะรังสีออร่าของคนที่หนุ่มแน่นแข็งแรงจะต่างไปจากรังสีออร่าของคนที่แก่ชรา และเจ็บป่วยอย่างชัดเจน เพราะพลังปราณคือตัวหล่อเลี้ยงรังสีออร่านี้ พลังปราณส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย ปัจจุบันทางการแพทย์ได้ค้นพบแล้วว่า กระบวนการแก่ของคนเราเป็นกระบวนการที่ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อเหล่านี้โดยเฉพาะต่อมพิตทูอิทารีในสมอง “5 กระบวนท่า” นี้เป็นการฟื้นฟูสมดุลในการใช้พลังปราณมาทำให้ร่างกายเกิดการชะลอความแก่ และนำไปสู่การมีอายุที่ยืนยาวนั่นเอง กล่าวในความหมายนี้ การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อการชะลอวัยแบบนี้ จึงถูกจัดอยู่ในแนวทางหนึ่งของ “การแพทย์เชิงพลังงาน” ได้
ในความเข้าใจของผม “ศาสตร์ชะลอวัย” ในระดับชาวบ้านของโลกตะวันตกในยุคบุกเบิกนั้น อิงอยู่กับภูมิปัญญาเร้นลับและโบราณของศาสตร์ตะวันออกอย่าง วิชาโยคะ โดยเริ่มต้นจากหนังสือเล่มหนึ่งของปีเตอร์ เคลเดอร์ (Peter Kelder) ชื่อ “The Eye of Revealation” อันเป็นหนังสือเล่มบางๆ เพียงไม่กี่สิบหน้าที่ตีพิมพ์ออกมาในปี ค.ศ. 1939 (ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นที่แพร่หลายในชื่อ “Ancient Secret of the Fountain of Youth” ในปี ค.ศ. 1985)
“คำนำ” ของผู้จัดพิมพ์ที่ได้นำหนังสือคลาสสิกเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ มาตีพิมพ์ใหม่ได้กล่าวถึงหนังสือเล่มบางๆ เล่มนี้ว่า “นี่เป็นหนังสือที่น่าอัศจรรย์เล่มหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่หนังสือสำหรับคนทุกคน หากเป็นหนังสือสำหรับคนที่เชื่อว่าคนเราสามารถชะลอความแก่ได้เท่านั้น”
“...ถ้าคุณเชื่อหรือยึดติดกับวิธีคิดเก่าๆ ว่าการชะลอความแก่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การอ่านหนังสือเล่มนี้จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
“...เท่าที่ทราบ หนังสือเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ เป็นข่าวสารอันทรงคุณค่าจะหาสิ่งใดเปรียบได้ ที่เขียนเป็นอักษรออกมาจำนวนหนึ่งในหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่เปิดเผย เคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตในการรักษาความเป็นหนุ่มสาว มีสุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตชีวาตราบนานเท่านาน”
“...เคล็ดวิชาเร้นลับนี้ ได้สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่วิหารลี้ลับในแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยสู่โลกตะวันตกเป็นครั้งแรก โดยหนังสือของปีเตอร์ เคลเดอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1939 แล้วถูกลืมไปเป็นเวลานานปี ทางสำนักพิมพ์ถึงต้องนำหนังสือเล่มนี้มาจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่”
“...มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าเรื่องราวของผู้พันแบรดฟอร์ด ในหนังสือเล่มนี้ของเคลเดอร์ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งหรืออิงมาจากเรื่องจริงผสมแต่ง แต่ทางผู้จัดพิมพ์สามารถยืนยันได้ว่าประสิทธิผลของ กระบวนท่า 5 กระบวนท่า (The Five Tibetan Rites) (บางทีก็เรียกว่า “The Five Rites” หรือ “The Five Tibetans” หรือ “The Five Rites of Rijuvenation” แต่ปัจจุบันนี้นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “T5T”) ของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตอันนี้มีอยู่จริง แม้ว่าอาจจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะทำให้ผู้ฝึกอ่อนเยาว์ลง 50 ปี และเปลี่ยนโฉมในชั่วข้ามคืนได้ แต่ทางผู้จัดพิมพ์สามารถรับรองได้ว่า มันจะทำให้ผู้ฝึกดูหนุ่มดูสาวขึ้น รู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น รวมทั้งมีความคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน ถ้าผู้นั้นฝึก “5 กระบวนท่า” นี้ทุกๆ วัน...”
ถ้าหาก “5 กระบวนท่า” (The Five Rites หรือ T5T) ของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบตนี้ได้ผลจริงๆ เราก็คงต้องตั้งคำถามต่อไปว่า มันได้ผลอย่างไร และทำไม คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ก็คือ พลังปราณ หรือ พลังจักรวาล นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้สามารถวัดทางอ้อมได้แล้วในรูปของรังสีออร่า เพราะรังสีออร่าของคนที่หนุ่มแน่นแข็งแรงจะต่างไปจากรังสีออร่าของคนที่แก่ชรา และเจ็บป่วยอย่างชัดเจน เพราะพลังปราณคือตัวหล่อเลี้ยงรังสีออร่านี้ พลังปราณส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย ปัจจุบันทางการแพทย์ได้ค้นพบแล้วว่า กระบวนการแก่ของคนเราเป็นกระบวนการที่ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อเหล่านี้โดยเฉพาะต่อมพิตทูอิทารีในสมอง “5 กระบวนท่า” นี้เป็นการฟื้นฟูสมดุลในการใช้พลังปราณมาทำให้ร่างกายเกิดการชะลอความแก่ และนำไปสู่การมีอายุที่ยืนยาวนั่นเอง กล่าวในความหมายนี้ การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อการชะลอวัยแบบนี้ จึงถูกจัดอยู่ในแนวทางหนึ่งของ “การแพทย์เชิงพลังงาน” ได้
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
การทดลองปฏิบัติ “5 กระบวนท่า” นี้อย่างต่อเนื่องทุกวัน ผลจะเริ่มปรากฏขึ้นมาหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ที่สำคัญอย่างยิ่งในการจะฝึก “5 กระบวนท่า” นี้ให้ได้ผล ผู้นั้นจะต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตัวเองอยู่เสมอว่า ตัวเขาได้ตระหนักแล้วว่า ตัวเขาเป็นบุคคลพิเศษที่สามารถมองเห็นข้อจำกัดในวิธีคิดและทัศนะแบบเก่าของคนทั่วไปในเรื่องของความแก่ ตัวเขาจึงหันมาสนใจเรื่อง “ศาสตร์ชะลอวัย” อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ตัวเขาจะต้องตระหนักดีว่า ตัวเขาเองเป็นบุคคลที่ควรค่า และมีคุณค่าพอที่จะรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยั่งยืนยาวนาน เพราะตัวเขาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อสังคมนี้ และต่อโลกใบนี้
ใจความหลักๆ ของหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ มีดังต่อไปนี้
...หลายปีก่อน ขณะที่เคลเดอร์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในสวนสาธารณะ เขาได้พบอดีตนายทหารนอกราชการของอังกฤษชื่อผู้พันแบรดฟอร์ด อายุราวๆ หกสิบกว่าปี มีผมหงอก ในวัยหนุ่มแบรดฟอร์ดเคยไปประจำการที่อินเดีย และได้รับทราบเรื่องราวจากพระลามะของทิเบตว่ามี “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แต่ตอนนั้นแบรดฟอร์ดยังไม่แก่ เขาจึงเพียงแค่ค้นคว้าสะสมข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เท่านั้น แต่ตอนนี้แบรดฟอร์ดเข้าสู่วัยชราแล้ว และเขาได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า เขาจะกลับไปอินเดียอีกครั้งเพื่อไปเสาะหา “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ที่นั่น ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ชวนเคลเดอร์ให้ร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย แต่เคลเดอร์ปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าคนเราจะฝืนสังขารได้
หลายปีผ่านไป เคลเดอร์เกือบลืมเรื่องราวของผู้พันแบรดฟอร์ดเสียสนิท จนกระทั่งเคลเดอร์ได้รับจดหมายจากผู้พันแบรดฟอร์ดว่า เขาได้พบ “แหล่งน้ำแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แล้วและกำลังเดินทางมาพบกับเคลเดอร์ที่สหรัฐอเมริกาในอีกสองเดือนข้างหน้า ตอนแรกที่เคลเดอร์ได้พบกับผู้พันแบรดฟอร์ดอีกครั้ง เขาจำผู้พันแบรดฟอร์ดแทบไม่ได้ เพราะเขาดูหนุ่มขึ้นมากจนดูเหมือนกลายเป็นคนละคน เคลเดอร์เชื่อทันทีว่า ผู้พันแบรดฟอร์ดได้พบ “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แล้วจริงๆ
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้เล่าเรื่องราวของเขาให้เคลเดอร์ฟังว่า เขาได้ใช้เวลากว่าสองปีในการเสาะหา “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ซึ่งในที่สุดเขาก็ค้นพบ เมื่อเขาไปถึงวิหารลี้ลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ที่นั่นแบรดฟอร์ดได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณจากพระลามะ ภายในชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เขาพำนักอยู่ที่นั่น เขาได้พบว่า ตัวเองกลับมาหนุ่มขึ้นอีกร่วม 15 ปีอย่างที่ตัวเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นภาพตัวเองในกระจก
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้เล่ารายละเอียดของ “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ให้เคลเดอร์ฟังว่า...สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่แบรดฟอร์ดได้รับการถ่ายทอด หลังจากเขาไปถึงวิหารลี้ลับแห่งนี้ก็คือ ร่างกายของคนเรามีศูนย์พลังงานอยู่เจ็ดแห่ง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า วอร์เท็กซ์ (Vortex) แต่ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า จักระ (Chakra) ตามหลักวิชาโยคะ (Yoga)
วอร์เท็กซ์หรือจักระนี้เป็นสนามชีวไฟฟ้าที่ทรงพลังมาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง วอร์เท็กซ์ทั้งเจ็ดนี้ตั้งอยู่บนตำแหน่งต่อมไร้ท่อทั้งเจ็ดแห่งในร่างกายคนเรา วอร์เท็กซ์ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นวอร์เท็กซ์ที่อยู่ตำแหน่งต่ำที่สุด ตั้งอยู่ตรงต่อมเพศหรือต่อมสืบพันธุ์ วอร์เท็กซ์ที่สอง ตั้งอยู่บนตับอ่อนในบริเวณช่องท้อง วอร์เท็กซ์ที่สาม ตั้งอยู่บนต่อมอะดรินัลบริเวณโซลาร์เพลกซัส วอร์เท็กซ์ที่สี่ ตั้งอยู่บนต่อมไทมัสบริเวณหัวใจ วอร์เท็กซ์ที่ห้า ตั้งอยู่บนต่อมไทรอยด์ บริเวณคอ วอร์เท็กซ์ที่หก ตั้งอยู่บนต่อมไพเนียลบริเวณสมอง และ วอร์เท็กซ์ที่เจ็ด ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดตั้งอยู่บนต่อมพิตทูอิทารีในสมอง (ยังมีต่อ)
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (18)
(24/7/2555)
*“เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของ ปีเตอร์ เคลเดอร์ (ต่อ)*
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ถ่ายทอดเคล็ดลับโบราณเพื่อการชะลอวัยที่ตัวเขาได้เรียนรู้ และฝึกฝนมาจากวิหารลี้ลับในเทือกเขาหิมาลัยให้แก่ ปีเตอร์ เคลเดอร์ หลังจากที่ได้อธิบายตำแหน่งของวอร์เท็กซ์ หรือจักระทั้งเจ็ดแห่งในร่างกายมนุษย์ไปแล้วว่า...
มนุษย์ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีมาก วอร์เท็กซ์หรือจักระเหล่านี้ แต่ละอันจะหมุนด้วยความเร็วที่สูงมาก ถ้าวอร์เท็กซ์หรือจักระบางอันหมุนช้าลง คนผู้นั้นจะเริ่มแก่ชรา และมีร่างกายที่อ่อนแอลง การหมุนของวอร์เท็กซ์หรือจักระด้วยความเร็วที่สูงมากนี้ จะทำให้พลังชีวิต ที่เรียกว่า ปราณ ไหลเข้า และไหลขึ้นไปตลอดทั่วระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย แต่ถ้าวอร์เท็กซ์หรือจักระหมุนช้าลง การไหลของปราณจะถูกสกัด หรือถูกปิดกั้นซึ่งนำไปสู่การเจ็บไข้ได้ป่วยและแก่ชรา...
อนึ่ง เมื่อคำนึงถึงว่า สมมติฐาน “จักระ” ในโมเดล “โยคะ” ข้างต้น “เพื่อการชะลอวัยในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ เล่มนี้ได้ถูกนำเสนอต่อโลกตะวันตกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 หรือเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน เราคงต้องยอมรับว่า สมมติฐาน “จักระ” อันนี้เป็นแนวคิดที่ปฏิวัติในวงการศาสตร์ชะลอวัยของโลกตะวันตกเลยทีเดียว เพราะแม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ การแพทย์เชิงพลังงาน ก็ยังคงใช้สมมติฐาน “จักระ” นี้อยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะศาสตร์ชะลอวัยที่ใช้โมเดล “โยคะ” เป็นหลัก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า วงการแพทย์กระแสหลักยังไม่ค่อยให้ความสนใจกับสมมติฐาน “จักระ” นี้เท่าไรนัก
...วอร์เท็กซ์หรือจักระที่หมุนด้วยความเร็วสูงนี้ จะเปล่งรังสีหรือออร่าออกจากร่างกายในกรณีที่บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพดีแข็งแรง แต่ถ้าคนผู้นั้นป่วยหรืออ่อนแอ รังสีออร่านี้แทบจะไม่ปรากฏออกมาถึงบริเวณผิวหนังเลย เพราะฉะนั้น วิธีที่เร็วที่สุดในการฟื้นฟูสุขภาพความมีชีวิตชีวา และความเป็นหนุ่มสาวก็คือ จะต้องทำให้วอร์เท็กซ์หรือจักระ อันเป็นศูนย์พลังงานต่างๆ ในร่างกายของคนเรา กลับมาหมุนด้วยความเร็วสูงดังเดิม โดยที่ในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ ได้นำเสนอว่า มีวิธีการกายบริหาร 5 กระบวนท่า (The Five Rites) ที่ผู้พันแบรดฟอร์ด อ้างว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากพระลามะ ในวิหารลี้ลับแห่งนั้น เป็นเคล็ดลับในการช่วยกระตุ้นวอร์เท็กซ์ หรือจักระต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติดังเดิม กระบวนท่า 5 ท่าของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบต ในหนังสือของปีเตอร์ เคลเดอร์ เล่มนี้มีดังต่อไปนี้
(1) กระบวนท่าที่หนึ่ง
วิธีฝึกกระบวนท่าที่หนึ่งนี้ง่ายมาก เพราะมันมี จุดประสงค์หลักเพื่อเร่งความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์ พวกเด็กๆ ล้วนเคยหัดเล่นอย่างนี้กันมาทั้งนั้น โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ก่อนอื่นให้ยืนตัวตรงกางแขนสองข้างขนานกับพื้น แล้วหมุนรอบตัวเองตามเข็มนาฬิกาจากซ้ายไปขวา ให้หมุนจนตัวเรารู้สึกตาลายเวียนศีรษะเล็กน้อยจึงหยุด แรกๆ ควรหัดหมุนตัวไม่เกินหกครั้ง อย่าไปฝึกหัดมากกว่านั้น ถ้ารู้สึกตาลายให้นั่งหรือนอนนิ่งๆ พักสักครู่
(2) กระบวนท่าที่สอง
กระบวนท่านี้เป็นการกระตุ้นวอร์เท็กซ์หรือจักระทั้งเจ็ดต่อจากกระบวนท่าที่หนึ่งที่มุ่งกระตุ้นจักระให้ทำงาน ในท่าที่สองนี้ ให้ผู้ฝึกนอนราบลงกับพื้น หงายหน้ามองเพดาน จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปแนบลำตัว วางฝ่ามือทั้งสองคว่ำลงกับพื้น นิ้วทั้งหมดชิดกัน เงยศีรษะขึ้นมาจากพื้นเก็บคางไว้แนบหน้าอก ยกขาทั้งสองข้างจนตั้งฉากกับพื้น ขาทั้งสองจะต้องเหยียดตรงชี้ฟ้าอย่าให้หัวเข่างอ จากนั้นวางศีรษะและขาลงกับพื้นตามเดิม เข่ายังเหยียดตรงคลายกล้ามเนื้อทั้งหมดแล้วเริ่มทำกระบวนท่านี้ใหม่ ในแต่ละครั้งที่กระทำท่านี้ จังหวะการหายใจควรจะสม่ำเสมอ คือหายใจเข้าให้ลึก ขณะที่ยกศีรษะกับท่อนขาขึ้นมาและหายใจออกช้าๆ ขณะที่วางศีรษะกับท่อนขาลงกับพื้น ระหว่างการพักท่า ผู้ฝึกจะต้องคลายทุกส่วนของร่างกายให้เต็มที่
(3) กระบวนท่าที่สาม
กระบวนท่านี้ ควรฝึกหัดต่อเนื่องทันทีต่อจากกระบวนท่าที่สอง ก่อนอื่นคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้นลำตัวตั้งตรง สองมือวางไว้ที่ต้นขาทั้งสองข้าง จากนั้นก้มศีรษะและลำคอไปข้างหน้า เก็บคางไว้แนบหน้าอก เสร็จแล้วงอศีรษะและลำคอไปทางด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ พร้อมกันนั้นก็ดัดสันหลังให้โค้งงอตามไปด้วย ขณะที่ดัดหลังให้ผู้ฝึกใช้มือจับต้นขาเอาไว้เพื่อพยุงลำตัว แล้วจึงกลับมาอยู่ที่ท่าเดิมก่อนจะเริ่มทำท่านี้ใหม่ ขณะที่หัดกระบวนการที่สามนี้ ผู้ฝึกควรจะหายใจเข้าให้ลึกขณะที่งอลำตัวไปข้างหลัง และหายใจออกขณะที่กลับมาตัวตรงอีก ถ้าจะให้ดีขณะที่ทำท่านี้ ควรจะหลับตาขณะที่ดัดตัวเพื่อเพ่งสติไปที่ข้างในตัว และขจัดความคิดที่รบกวนต่างๆ ออกไปจากใจ
(4) กระบวนท่าที่สี่
ก่อนอื่นนั่งลงกับพื้น เหยียดขาทั้งสองข้างออกไปตรงๆ ข้างหน้าให้ปลายขาทั้งสองข้างห่างกันราวๆ หนึ่งฟุต โดยที่ลำตัวตั้งตรง วางฝ่ามือทั้งสองข้างบนพื้นข้างสะโพก เก็บคางไว้แนบหน้าอก จากนั้นงอศีรษะกลับไปทางด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกัน ยกลำตัวขึ้นให้ขนานกับพื้นโดยงอเข่าตั้งฉากกับพื้น แขนทั้งสองข้างตรงตั้งฉากกับพื้นเช่นกัน ให้เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ก่อนที่จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน เมื่อกลับมาอยู่ในท่านั่งตอนต้น แล้วนอนพักก่อนที่จะทำกระบวนท่านี้ซ้ำอีก จงหายใจลึกๆ ขณะที่ยกลำตัวขึ้นขนานกับพื้น แล้วกักลมหายใจเอาไว้ขณะที่เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกให้หมดขณะหย่อนตัวลงนั่งตามเดิม จนจำไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างความเป็นหนุ่มสาวที่แข็งแรงกับความแก่ชราของผู้สูงวัยที่ขี้โรคนั้น อยู่ที่อัตราความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์ หรือจักระในร่างกายคนเท่านั้น วิชาโยคะเพื่อการชะลอวัย จึงมุ่งเน้นไปที่การปรับให้จักระกลับมาหมุนในอัตราที่เร็วเหมือนเดิมอีกครั้ง เพราะนี่คือเคล็ดลับที่ทำให้คนชรากลับมาย้อนวัยได้ ในทัศนะของโยคะ
(5) กระบวนท่าที่ห้า
ท่านี้ผู้ฝึกจะคว่ำตัวหันหน้าเข้าหาพื้นก่อน โดยพยุงร่างกายด้วยสองมือฝ่ามือคว่ำกับพื้น ปลายเท้าทั้งสองแยกออกจากกันราวๆ สองฟุต ใช้ปลายเท้าแตะพื้น แขนตรง และขาเหยียดตรง แขนตั้งฉากกับพื้นดัดหลังให้โค้งไปข้างหน้าลำตัวจึงอยู่ในลักษณะย้อยลงมาเกือบแตะพื้น จากนั้นเหวี่ยงศีรษะไปทางด้านหลัง พร้อมกับงอก้นสะโพกจนลำตัวลอยขึ้นเป็นรูปตัววีหรือรูปสามเหลี่ยม คางแนบกับหน้าอก เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น พักชั่วครู่แล้วจึงเริ่มทำกระบวนท่านี้ซ้ำอีก ส่วนการหายใจก็เหมือนกับกระบวนท่าก่อนๆ คือหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่ยกตัวขึ้นเป็นรูปตัววี และหายใจออกเมื่อหย่อนตัวลงมา
กระบวนท่าทั้ง 5 ท่าข้างต้นนี้ จงอย่ามองอย่างผิวเผินว่าเป็นแค่ท่ากายบริหารเพื่อยืดเส้นเฉยๆ เท่านั้น แม้กระบวนท่าเหล่านี้มันจะช่วยยืดเส้นด้วยก็จริง แต่การยืดเส้นไม่ใช่เป้าหมายหลักในการฝึกเคล็ดวิชาโบราณอันนี้ แต่เป็นการปรับความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์หรือจักระของผู้ฝึกให้หมุนในอัตราเร็วเท่ากับคนวัย 25 ปีที่แข็งแรงต่างหาก เพราะคนที่แข็งแรงมีสุขภาพดีในวัยนี้ จักระทั้งเจ็ดจะหมุนในอัตราเร็วที่เท่ากัน ขณะที่อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดของคนวัยกลางคน จะมีอัตราเร็วไม่เท่ากัน และจักระบางอันอาจหมุนในอัตราเร็วที่เชื่องช้าลงมาก ซึ่งเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บบริเวณนั้น
การที่จักระทั้งเจ็ดทำงานอย่างไม่ประสานปรองดองกันเช่นนี้ ถ้าจักระอันไหนหมุนช้าก็จะทำให้อวัยวะบริเวณนั้นอ่อนแอเสื่อมถอย ส่วนจักระที่หมุนเร็วกว่าจะก่อให้เกิดความหงุดหงิด กระวนกระวาย และเหนื่อยล้าซึ่งนำไปสู่การเสียสุขภาพ และความแก่ชราในที่สุด
กระบวนท่าแต่ละท่าควรฝึกให้ได้ถึง 21 ครั้งต่อหนึ่งกระบวนท่า โดยค่อยๆ ฝึกจากแต่ละท่าไม่เกิน 3 ครั้งในสัปดาห์แรก แล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งทีละสองไปทุกๆ สัปดาห์ จนกระทั่งผู้ฝึกสามารถหัดได้ถึง 21 ครั้งต่อหนึ่งกระบวนท่าในสัปดาห์ที่สิบ การฝึก “5 กระบวนท่า” นี้สามารถฝึกได้ทั้งเช้าหรือตอนเย็นตามแต่สะดวก ถ้าจะให้ดีควรหัดวิชานี้ทุกๆ วัน ทั้งในช่วงเช้า และช่วงเย็น แต่ไม่ควรหักโหม แล้วจะเห็นผลเองภายในสามเดือนอย่างแน่นอน
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (19)
(31/7/2555)
*วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตได้ผลจริงหรือ?*
วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบต (The Five Tibetan Rites) ที่อยู่ในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์นั้น เป็นที่ฮือฮาและแพร่หลายมากในโลกตะวันตก จนกระทั่งแทบกลายเป็นความเชื่อกึ่งงมงายของผู้คนบางกลุ่มว่า “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้สามารถเป็น “ปาฏิหาริย์” ที่จะหยุดความแก่ ช่วยลดน้ำหนักตัวลงอย่างฮวบฮาบ รักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายทั้งปวงได้
ความเชื่อกึ่งงมงายที่ค่อนข้างแพร่หลายแบบนี้เอง ที่ทำให้วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตในโลกตะวันตกอยู่ใน สถานะพิเศษ ที่ผู้คนได้ตั้งความคาดหวังไว้สูงมากอย่างเหลือเชื่อต่อวิชานี้ตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านี้เสียอีก โดยที่วิชาโยคะหรือชี่กงแบบอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่แพร่หลายอยู่ในโลกตะวันตก ก็ไม่มีอันไหนถูกตั้งความคาดหวังไว้สูงเหมือนกับวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เลย นี่อาจจะเป็นเพราะความคลาสสิกของตัวหนังสือเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ ที่พิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ด้วยกระมัง ที่ทำให้เกิดกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริงอย่างเหลือเชื่อเกี่ยวกับวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์ในการขายหนังสือเล่มนี้ทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในรูปของอี-บุ๊ก ที่ตั้งราคาหนังสือเล่มนี้ไว้ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับราคาของหนังสือเล่มอื่นๆ
ใจความหลักๆ ของหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ มีดังต่อไปนี้
...หลายปีก่อน ขณะที่เคลเดอร์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในสวนสาธารณะ เขาได้พบอดีตนายทหารนอกราชการของอังกฤษชื่อผู้พันแบรดฟอร์ด อายุราวๆ หกสิบกว่าปี มีผมหงอก ในวัยหนุ่มแบรดฟอร์ดเคยไปประจำการที่อินเดีย และได้รับทราบเรื่องราวจากพระลามะของทิเบตว่ามี “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แต่ตอนนั้นแบรดฟอร์ดยังไม่แก่ เขาจึงเพียงแค่ค้นคว้าสะสมข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เท่านั้น แต่ตอนนี้แบรดฟอร์ดเข้าสู่วัยชราแล้ว และเขาได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า เขาจะกลับไปอินเดียอีกครั้งเพื่อไปเสาะหา “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ที่นั่น ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ชวนเคลเดอร์ให้ร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย แต่เคลเดอร์ปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าคนเราจะฝืนสังขารได้
หลายปีผ่านไป เคลเดอร์เกือบลืมเรื่องราวของผู้พันแบรดฟอร์ดเสียสนิท จนกระทั่งเคลเดอร์ได้รับจดหมายจากผู้พันแบรดฟอร์ดว่า เขาได้พบ “แหล่งน้ำแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แล้วและกำลังเดินทางมาพบกับเคลเดอร์ที่สหรัฐอเมริกาในอีกสองเดือนข้างหน้า ตอนแรกที่เคลเดอร์ได้พบกับผู้พันแบรดฟอร์ดอีกครั้ง เขาจำผู้พันแบรดฟอร์ดแทบไม่ได้ เพราะเขาดูหนุ่มขึ้นมากจนดูเหมือนกลายเป็นคนละคน เคลเดอร์เชื่อทันทีว่า ผู้พันแบรดฟอร์ดได้พบ “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” แล้วจริงๆ
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้เล่าเรื่องราวของเขาให้เคลเดอร์ฟังว่า เขาได้ใช้เวลากว่าสองปีในการเสาะหา “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ซึ่งในที่สุดเขาก็ค้นพบ เมื่อเขาไปถึงวิหารลี้ลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ที่นั่นแบรดฟอร์ดได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณจากพระลามะ ภายในชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เขาพำนักอยู่ที่นั่น เขาได้พบว่า ตัวเองกลับมาหนุ่มขึ้นอีกร่วม 15 ปีอย่างที่ตัวเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นภาพตัวเองในกระจก
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้เล่ารายละเอียดของ “แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ให้เคลเดอร์ฟังว่า...สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่แบรดฟอร์ดได้รับการถ่ายทอด หลังจากเขาไปถึงวิหารลี้ลับแห่งนี้ก็คือ ร่างกายของคนเรามีศูนย์พลังงานอยู่เจ็ดแห่ง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า วอร์เท็กซ์ (Vortex) แต่ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า จักระ (Chakra) ตามหลักวิชาโยคะ (Yoga)
วอร์เท็กซ์หรือจักระนี้เป็นสนามชีวไฟฟ้าที่ทรงพลังมาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง วอร์เท็กซ์ทั้งเจ็ดนี้ตั้งอยู่บนตำแหน่งต่อมไร้ท่อทั้งเจ็ดแห่งในร่างกายคนเรา วอร์เท็กซ์ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นวอร์เท็กซ์ที่อยู่ตำแหน่งต่ำที่สุด ตั้งอยู่ตรงต่อมเพศหรือต่อมสืบพันธุ์ วอร์เท็กซ์ที่สอง ตั้งอยู่บนตับอ่อนในบริเวณช่องท้อง วอร์เท็กซ์ที่สาม ตั้งอยู่บนต่อมอะดรินัลบริเวณโซลาร์เพลกซัส วอร์เท็กซ์ที่สี่ ตั้งอยู่บนต่อมไทมัสบริเวณหัวใจ วอร์เท็กซ์ที่ห้า ตั้งอยู่บนต่อมไทรอยด์ บริเวณคอ วอร์เท็กซ์ที่หก ตั้งอยู่บนต่อมไพเนียลบริเวณสมอง และ วอร์เท็กซ์ที่เจ็ด ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดตั้งอยู่บนต่อมพิตทูอิทารีในสมอง (ยังมีต่อ)
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (18)
(24/7/2555)
*“เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของ ปีเตอร์ เคลเดอร์ (ต่อ)*
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ถ่ายทอดเคล็ดลับโบราณเพื่อการชะลอวัยที่ตัวเขาได้เรียนรู้ และฝึกฝนมาจากวิหารลี้ลับในเทือกเขาหิมาลัยให้แก่ ปีเตอร์ เคลเดอร์ หลังจากที่ได้อธิบายตำแหน่งของวอร์เท็กซ์ หรือจักระทั้งเจ็ดแห่งในร่างกายมนุษย์ไปแล้วว่า...
มนุษย์ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีมาก วอร์เท็กซ์หรือจักระเหล่านี้ แต่ละอันจะหมุนด้วยความเร็วที่สูงมาก ถ้าวอร์เท็กซ์หรือจักระบางอันหมุนช้าลง คนผู้นั้นจะเริ่มแก่ชรา และมีร่างกายที่อ่อนแอลง การหมุนของวอร์เท็กซ์หรือจักระด้วยความเร็วที่สูงมากนี้ จะทำให้พลังชีวิต ที่เรียกว่า ปราณ ไหลเข้า และไหลขึ้นไปตลอดทั่วระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย แต่ถ้าวอร์เท็กซ์หรือจักระหมุนช้าลง การไหลของปราณจะถูกสกัด หรือถูกปิดกั้นซึ่งนำไปสู่การเจ็บไข้ได้ป่วยและแก่ชรา...
อนึ่ง เมื่อคำนึงถึงว่า สมมติฐาน “จักระ” ในโมเดล “โยคะ” ข้างต้น “เพื่อการชะลอวัยในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ เล่มนี้ได้ถูกนำเสนอต่อโลกตะวันตกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 หรือเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน เราคงต้องยอมรับว่า สมมติฐาน “จักระ” อันนี้เป็นแนวคิดที่ปฏิวัติในวงการศาสตร์ชะลอวัยของโลกตะวันตกเลยทีเดียว เพราะแม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ การแพทย์เชิงพลังงาน ก็ยังคงใช้สมมติฐาน “จักระ” นี้อยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะศาสตร์ชะลอวัยที่ใช้โมเดล “โยคะ” เป็นหลัก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า วงการแพทย์กระแสหลักยังไม่ค่อยให้ความสนใจกับสมมติฐาน “จักระ” นี้เท่าไรนัก
...วอร์เท็กซ์หรือจักระที่หมุนด้วยความเร็วสูงนี้ จะเปล่งรังสีหรือออร่าออกจากร่างกายในกรณีที่บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพดีแข็งแรง แต่ถ้าคนผู้นั้นป่วยหรืออ่อนแอ รังสีออร่านี้แทบจะไม่ปรากฏออกมาถึงบริเวณผิวหนังเลย เพราะฉะนั้น วิธีที่เร็วที่สุดในการฟื้นฟูสุขภาพความมีชีวิตชีวา และความเป็นหนุ่มสาวก็คือ จะต้องทำให้วอร์เท็กซ์หรือจักระ อันเป็นศูนย์พลังงานต่างๆ ในร่างกายของคนเรา กลับมาหมุนด้วยความเร็วสูงดังเดิม โดยที่ในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์ ได้นำเสนอว่า มีวิธีการกายบริหาร 5 กระบวนท่า (The Five Rites) ที่ผู้พันแบรดฟอร์ด อ้างว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากพระลามะ ในวิหารลี้ลับแห่งนั้น เป็นเคล็ดลับในการช่วยกระตุ้นวอร์เท็กซ์ หรือจักระต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติดังเดิม กระบวนท่า 5 ท่าของเคล็ดวิชาเร้นลับโบราณของทิเบต ในหนังสือของปีเตอร์ เคลเดอร์ เล่มนี้มีดังต่อไปนี้
(1) กระบวนท่าที่หนึ่ง
วิธีฝึกกระบวนท่าที่หนึ่งนี้ง่ายมาก เพราะมันมี จุดประสงค์หลักเพื่อเร่งความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์ พวกเด็กๆ ล้วนเคยหัดเล่นอย่างนี้กันมาทั้งนั้น โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ก่อนอื่นให้ยืนตัวตรงกางแขนสองข้างขนานกับพื้น แล้วหมุนรอบตัวเองตามเข็มนาฬิกาจากซ้ายไปขวา ให้หมุนจนตัวเรารู้สึกตาลายเวียนศีรษะเล็กน้อยจึงหยุด แรกๆ ควรหัดหมุนตัวไม่เกินหกครั้ง อย่าไปฝึกหัดมากกว่านั้น ถ้ารู้สึกตาลายให้นั่งหรือนอนนิ่งๆ พักสักครู่
(2) กระบวนท่าที่สอง
กระบวนท่านี้เป็นการกระตุ้นวอร์เท็กซ์หรือจักระทั้งเจ็ดต่อจากกระบวนท่าที่หนึ่งที่มุ่งกระตุ้นจักระให้ทำงาน ในท่าที่สองนี้ ให้ผู้ฝึกนอนราบลงกับพื้น หงายหน้ามองเพดาน จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปแนบลำตัว วางฝ่ามือทั้งสองคว่ำลงกับพื้น นิ้วทั้งหมดชิดกัน เงยศีรษะขึ้นมาจากพื้นเก็บคางไว้แนบหน้าอก ยกขาทั้งสองข้างจนตั้งฉากกับพื้น ขาทั้งสองจะต้องเหยียดตรงชี้ฟ้าอย่าให้หัวเข่างอ จากนั้นวางศีรษะและขาลงกับพื้นตามเดิม เข่ายังเหยียดตรงคลายกล้ามเนื้อทั้งหมดแล้วเริ่มทำกระบวนท่านี้ใหม่ ในแต่ละครั้งที่กระทำท่านี้ จังหวะการหายใจควรจะสม่ำเสมอ คือหายใจเข้าให้ลึก ขณะที่ยกศีรษะกับท่อนขาขึ้นมาและหายใจออกช้าๆ ขณะที่วางศีรษะกับท่อนขาลงกับพื้น ระหว่างการพักท่า ผู้ฝึกจะต้องคลายทุกส่วนของร่างกายให้เต็มที่
(3) กระบวนท่าที่สาม
กระบวนท่านี้ ควรฝึกหัดต่อเนื่องทันทีต่อจากกระบวนท่าที่สอง ก่อนอื่นคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้นลำตัวตั้งตรง สองมือวางไว้ที่ต้นขาทั้งสองข้าง จากนั้นก้มศีรษะและลำคอไปข้างหน้า เก็บคางไว้แนบหน้าอก เสร็จแล้วงอศีรษะและลำคอไปทางด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ พร้อมกันนั้นก็ดัดสันหลังให้โค้งงอตามไปด้วย ขณะที่ดัดหลังให้ผู้ฝึกใช้มือจับต้นขาเอาไว้เพื่อพยุงลำตัว แล้วจึงกลับมาอยู่ที่ท่าเดิมก่อนจะเริ่มทำท่านี้ใหม่ ขณะที่หัดกระบวนการที่สามนี้ ผู้ฝึกควรจะหายใจเข้าให้ลึกขณะที่งอลำตัวไปข้างหลัง และหายใจออกขณะที่กลับมาตัวตรงอีก ถ้าจะให้ดีขณะที่ทำท่านี้ ควรจะหลับตาขณะที่ดัดตัวเพื่อเพ่งสติไปที่ข้างในตัว และขจัดความคิดที่รบกวนต่างๆ ออกไปจากใจ
(4) กระบวนท่าที่สี่
ก่อนอื่นนั่งลงกับพื้น เหยียดขาทั้งสองข้างออกไปตรงๆ ข้างหน้าให้ปลายขาทั้งสองข้างห่างกันราวๆ หนึ่งฟุต โดยที่ลำตัวตั้งตรง วางฝ่ามือทั้งสองข้างบนพื้นข้างสะโพก เก็บคางไว้แนบหน้าอก จากนั้นงอศีรษะกลับไปทางด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกัน ยกลำตัวขึ้นให้ขนานกับพื้นโดยงอเข่าตั้งฉากกับพื้น แขนทั้งสองข้างตรงตั้งฉากกับพื้นเช่นกัน ให้เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ก่อนที่จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน เมื่อกลับมาอยู่ในท่านั่งตอนต้น แล้วนอนพักก่อนที่จะทำกระบวนท่านี้ซ้ำอีก จงหายใจลึกๆ ขณะที่ยกลำตัวขึ้นขนานกับพื้น แล้วกักลมหายใจเอาไว้ขณะที่เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกให้หมดขณะหย่อนตัวลงนั่งตามเดิม จนจำไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างความเป็นหนุ่มสาวที่แข็งแรงกับความแก่ชราของผู้สูงวัยที่ขี้โรคนั้น อยู่ที่อัตราความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์ หรือจักระในร่างกายคนเท่านั้น วิชาโยคะเพื่อการชะลอวัย จึงมุ่งเน้นไปที่การปรับให้จักระกลับมาหมุนในอัตราที่เร็วเหมือนเดิมอีกครั้ง เพราะนี่คือเคล็ดลับที่ทำให้คนชรากลับมาย้อนวัยได้ ในทัศนะของโยคะ
(5) กระบวนท่าที่ห้า
ท่านี้ผู้ฝึกจะคว่ำตัวหันหน้าเข้าหาพื้นก่อน โดยพยุงร่างกายด้วยสองมือฝ่ามือคว่ำกับพื้น ปลายเท้าทั้งสองแยกออกจากกันราวๆ สองฟุต ใช้ปลายเท้าแตะพื้น แขนตรง และขาเหยียดตรง แขนตั้งฉากกับพื้นดัดหลังให้โค้งไปข้างหน้าลำตัวจึงอยู่ในลักษณะย้อยลงมาเกือบแตะพื้น จากนั้นเหวี่ยงศีรษะไปทางด้านหลัง พร้อมกับงอก้นสะโพกจนลำตัวลอยขึ้นเป็นรูปตัววีหรือรูปสามเหลี่ยม คางแนบกับหน้าอก เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น พักชั่วครู่แล้วจึงเริ่มทำกระบวนท่านี้ซ้ำอีก ส่วนการหายใจก็เหมือนกับกระบวนท่าก่อนๆ คือหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่ยกตัวขึ้นเป็นรูปตัววี และหายใจออกเมื่อหย่อนตัวลงมา
กระบวนท่าทั้ง 5 ท่าข้างต้นนี้ จงอย่ามองอย่างผิวเผินว่าเป็นแค่ท่ากายบริหารเพื่อยืดเส้นเฉยๆ เท่านั้น แม้กระบวนท่าเหล่านี้มันจะช่วยยืดเส้นด้วยก็จริง แต่การยืดเส้นไม่ใช่เป้าหมายหลักในการฝึกเคล็ดวิชาโบราณอันนี้ แต่เป็นการปรับความเร็วในการหมุนของวอร์เท็กซ์หรือจักระของผู้ฝึกให้หมุนในอัตราเร็วเท่ากับคนวัย 25 ปีที่แข็งแรงต่างหาก เพราะคนที่แข็งแรงมีสุขภาพดีในวัยนี้ จักระทั้งเจ็ดจะหมุนในอัตราเร็วที่เท่ากัน ขณะที่อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดของคนวัยกลางคน จะมีอัตราเร็วไม่เท่ากัน และจักระบางอันอาจหมุนในอัตราเร็วที่เชื่องช้าลงมาก ซึ่งเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บบริเวณนั้น
การที่จักระทั้งเจ็ดทำงานอย่างไม่ประสานปรองดองกันเช่นนี้ ถ้าจักระอันไหนหมุนช้าก็จะทำให้อวัยวะบริเวณนั้นอ่อนแอเสื่อมถอย ส่วนจักระที่หมุนเร็วกว่าจะก่อให้เกิดความหงุดหงิด กระวนกระวาย และเหนื่อยล้าซึ่งนำไปสู่การเสียสุขภาพ และความแก่ชราในที่สุด
กระบวนท่าแต่ละท่าควรฝึกให้ได้ถึง 21 ครั้งต่อหนึ่งกระบวนท่า โดยค่อยๆ ฝึกจากแต่ละท่าไม่เกิน 3 ครั้งในสัปดาห์แรก แล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งทีละสองไปทุกๆ สัปดาห์ จนกระทั่งผู้ฝึกสามารถหัดได้ถึง 21 ครั้งต่อหนึ่งกระบวนท่าในสัปดาห์ที่สิบ การฝึก “5 กระบวนท่า” นี้สามารถฝึกได้ทั้งเช้าหรือตอนเย็นตามแต่สะดวก ถ้าจะให้ดีควรหัดวิชานี้ทุกๆ วัน ทั้งในช่วงเช้า และช่วงเย็น แต่ไม่ควรหักโหม แล้วจะเห็นผลเองภายในสามเดือนอย่างแน่นอน
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (19)
(31/7/2555)
*วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตได้ผลจริงหรือ?*
วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบต (The Five Tibetan Rites) ที่อยู่ในหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์นั้น เป็นที่ฮือฮาและแพร่หลายมากในโลกตะวันตก จนกระทั่งแทบกลายเป็นความเชื่อกึ่งงมงายของผู้คนบางกลุ่มว่า “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้สามารถเป็น “ปาฏิหาริย์” ที่จะหยุดความแก่ ช่วยลดน้ำหนักตัวลงอย่างฮวบฮาบ รักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายทั้งปวงได้
ความเชื่อกึ่งงมงายที่ค่อนข้างแพร่หลายแบบนี้เอง ที่ทำให้วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตในโลกตะวันตกอยู่ใน สถานะพิเศษ ที่ผู้คนได้ตั้งความคาดหวังไว้สูงมากอย่างเหลือเชื่อต่อวิชานี้ตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านี้เสียอีก โดยที่วิชาโยคะหรือชี่กงแบบอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่แพร่หลายอยู่ในโลกตะวันตก ก็ไม่มีอันไหนถูกตั้งความคาดหวังไว้สูงเหมือนกับวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เลย นี่อาจจะเป็นเพราะความคลาสสิกของตัวหนังสือเล่มนี้ของปีเตอร์ เคลเดอร์ ที่พิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ด้วยกระมัง ที่ทำให้เกิดกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริงอย่างเหลือเชื่อเกี่ยวกับวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์ในการขายหนังสือเล่มนี้ทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในรูปของอี-บุ๊ก ที่ตั้งราคาหนังสือเล่มนี้ไว้ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับราคาของหนังสือเล่มอื่นๆ
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
เนื้อหาหลักๆ ของการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับ “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ได้แก่ การโฆษณาชวนเชื่อว่า
(1) ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจะหายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด
(2) เส้นผมจะกลับมาดกดำเหมือนเดิมอีกครั้ง
(3) ผู้ฝึกจะดูหนุ่มสาวขึ้นอย่างน้อย 30 ปีขึ้นไป
(4) สายตาจะกลับมามองเห็นชัดเหมือนเดิมอีกครั้ง
(5) ผู้ฝึกจะมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เหล่านี้เป็นต้น
ในความเห็นของผม มันเป็นความจริงที่วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ ถ้าผู้นั้นสามารถฝึกฝนทุกวันอย่างต่อเนื่องภายใน 3 เดือน มันจะทำให้ผู้นั้นมีสุขภาพดีขึ้น แข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่มันมิได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์เหมือนอย่างที่มีการอวดอ้างหรือโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด เพราะถ้าผู้นั้นฝึกกายบริหารแบบโยคะหรือชี่กงอย่างหมั่นเพียรต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนเช่นกัน ก็น่าจะทำให้ผู้นั้นมีสุขภาพดีขึ้น แข็งแรงขึ้นในระดับเดียวกับที่ฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตได้เหมือนกัน
แต่มันคงเป็นปรากฏการณ์แปลกแต่จริงที่ย้อนแย้งสำหรับกรณีของวิชา “5 กระบวนท่า” แบบทิเบตที่อาจจะเหนือกว่าวิชาโยคะ หรือชี่กงอื่นๆ ตรงที่ชาวตะวันตกที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ค่อยมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับภูมิปัญญาตะวันออกมากนัก สามารถใช้ศรัทธาที่เป็นอุปทาน (placebo effect) ต่อวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ มาทำให้เกิดประสิทธิผลในการชะลอวัยได้มากกว่าการฝึกวิชาโยคะ หรือชี่กงทั่วๆ ไป เพราะพวกเขามีศรัทธาหรือตั้งความคาดหวังที่เกินจริงต่อวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ได้นั่นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อุปทานที่เป็นความเชื่อแบบงมงายของพวกเขานั่นเอง ที่ดึงศักยภาพของพลังจิตภายในตัวพวกเขาออกมาช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่มันจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่ผู้นั้นเกิดความสงสัยหรือเกิดรู้ความจริงในภายหลังว่า เหตุที่สุขภาพของตัวเองดีขึ้นก็เพราะอุปทานของตัวเอง หรือจิตของตัวเองเป็นผู้หลอกร่างกายเท่านั้น ประสิทธิผลจากอุปทาน (placebo effect) นี้ก็จะหายไปทันที หลงเหลือเฉพาะประสิทธิผลจากการออกกายบริหารทุกวันเท่านั้น
ถึงแม้ว่า ประสิทธิผลจากอุปทานจะหายไป แต่ประสิทธิผลจริงๆ จากการฝึกกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมากในโลกตะวันตก ในแง่ของผลดีต่อสุขภาพ และการชะลอวัย ถ้าผู้นั้นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องทุกๆ วันได้ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่มันจะได้ผลในระดับเดียวกับการฝึกโยคะหรือชี่กงแบบอื่นๆ เท่านั้น ดังต่อไปนี้
(1) มีพลังชีวิตหรือพลังเพิ่มขึ้นจริง
(2) รู้สึกสงบขึ้น และเครียดน้อยลงได้จริง
(3) กระบวนการคิดมีความเฉียบคม และแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(4) รู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าแต่ก่อน
(5) ทำให้มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนแขน หน้าท้อง สะโพก ส่วนขา และส่วนหลังได้จริง
(6) การนอนหลับดีขึ้นจริง
(7) สุขภาพโดยรวมดีขึ้นจริง และไม่เป็นหวัดง่ายเหมือนแต่ก่อน
( ลดอาการหดหู่ และซึมเศร้าได้จริง
(9) มีสมาธิเพิ่มขึ้น และผ่อนคลายขึ้นได้จริง
(10) มีวินัยในการฝึกตนเพิ่มขึ้น และรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(11) รู้สึกเยาว์วัยขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(12) การหายใจดีขึ้น หายใจได้ช้าลง ลึกขึ้น และสม่ำเสมอกว่าเดิม
(13) บางคนสามารถลดน้ำหนักได้ แต่ส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น และมีความอยากในการรับประทานอาหารสุขภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
(14) ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
(15) ช่วยให้การปรับตัวเข้าสู่วัยทองได้ราบรื่นขึ้น
(16) ช่วยให้เรื่องเพศ และอารมณ์ทางเพศดีขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(17) สามารถพัฒนาความเข้มแข็งจากภายใน อันเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการฝึกวิชาขั้นสูงแห่งการพัฒนากาย-จิต-ปราณ ในอนาคตข้างหน้าได้
(1) ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจะหายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด
(2) เส้นผมจะกลับมาดกดำเหมือนเดิมอีกครั้ง
(3) ผู้ฝึกจะดูหนุ่มสาวขึ้นอย่างน้อย 30 ปีขึ้นไป
(4) สายตาจะกลับมามองเห็นชัดเหมือนเดิมอีกครั้ง
(5) ผู้ฝึกจะมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เหล่านี้เป็นต้น
ในความเห็นของผม มันเป็นความจริงที่วิธีกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ ถ้าผู้นั้นสามารถฝึกฝนทุกวันอย่างต่อเนื่องภายใน 3 เดือน มันจะทำให้ผู้นั้นมีสุขภาพดีขึ้น แข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่มันมิได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์เหมือนอย่างที่มีการอวดอ้างหรือโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด เพราะถ้าผู้นั้นฝึกกายบริหารแบบโยคะหรือชี่กงอย่างหมั่นเพียรต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนเช่นกัน ก็น่าจะทำให้ผู้นั้นมีสุขภาพดีขึ้น แข็งแรงขึ้นในระดับเดียวกับที่ฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตได้เหมือนกัน
แต่มันคงเป็นปรากฏการณ์แปลกแต่จริงที่ย้อนแย้งสำหรับกรณีของวิชา “5 กระบวนท่า” แบบทิเบตที่อาจจะเหนือกว่าวิชาโยคะ หรือชี่กงอื่นๆ ตรงที่ชาวตะวันตกที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ค่อยมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับภูมิปัญญาตะวันออกมากนัก สามารถใช้ศรัทธาที่เป็นอุปทาน (placebo effect) ต่อวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ มาทำให้เกิดประสิทธิผลในการชะลอวัยได้มากกว่าการฝึกวิชาโยคะ หรือชี่กงทั่วๆ ไป เพราะพวกเขามีศรัทธาหรือตั้งความคาดหวังที่เกินจริงต่อวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ได้นั่นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อุปทานที่เป็นความเชื่อแบบงมงายของพวกเขานั่นเอง ที่ดึงศักยภาพของพลังจิตภายในตัวพวกเขาออกมาช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่มันจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่ผู้นั้นเกิดความสงสัยหรือเกิดรู้ความจริงในภายหลังว่า เหตุที่สุขภาพของตัวเองดีขึ้นก็เพราะอุปทานของตัวเอง หรือจิตของตัวเองเป็นผู้หลอกร่างกายเท่านั้น ประสิทธิผลจากอุปทาน (placebo effect) นี้ก็จะหายไปทันที หลงเหลือเฉพาะประสิทธิผลจากการออกกายบริหารทุกวันเท่านั้น
ถึงแม้ว่า ประสิทธิผลจากอุปทานจะหายไป แต่ประสิทธิผลจริงๆ จากการฝึกกายบริหาร “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมากในโลกตะวันตก ในแง่ของผลดีต่อสุขภาพ และการชะลอวัย ถ้าผู้นั้นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องทุกๆ วันได้ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่มันจะได้ผลในระดับเดียวกับการฝึกโยคะหรือชี่กงแบบอื่นๆ เท่านั้น ดังต่อไปนี้
(1) มีพลังชีวิตหรือพลังเพิ่มขึ้นจริง
(2) รู้สึกสงบขึ้น และเครียดน้อยลงได้จริง
(3) กระบวนการคิดมีความเฉียบคม และแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(4) รู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าแต่ก่อน
(5) ทำให้มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนแขน หน้าท้อง สะโพก ส่วนขา และส่วนหลังได้จริง
(6) การนอนหลับดีขึ้นจริง
(7) สุขภาพโดยรวมดีขึ้นจริง และไม่เป็นหวัดง่ายเหมือนแต่ก่อน
( ลดอาการหดหู่ และซึมเศร้าได้จริง
(9) มีสมาธิเพิ่มขึ้น และผ่อนคลายขึ้นได้จริง
(10) มีวินัยในการฝึกตนเพิ่มขึ้น และรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(11) รู้สึกเยาว์วัยขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(12) การหายใจดีขึ้น หายใจได้ช้าลง ลึกขึ้น และสม่ำเสมอกว่าเดิม
(13) บางคนสามารถลดน้ำหนักได้ แต่ส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น และมีความอยากในการรับประทานอาหารสุขภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
(14) ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
(15) ช่วยให้การปรับตัวเข้าสู่วัยทองได้ราบรื่นขึ้น
(16) ช่วยให้เรื่องเพศ และอารมณ์ทางเพศดีขึ้นกว่าเดิมได้จริง
(17) สามารถพัฒนาความเข้มแข็งจากภายใน อันเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการฝึกวิชาขั้นสูงแห่งการพัฒนากาย-จิต-ปราณ ในอนาคตข้างหน้าได้
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
จะเห็นได้ว่า ถ้าพิจารณาจากมุมมองของประสิทธิผลของวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตในเรื่องของสุขภาพและการชะลอวัย ผมคิดว่าไม่น่ามีข้อกังขาอีกต่อไปแล้วว่า มันได้ผลหรือไม่ กล่าวคือ มันได้ผลจริงๆ แต่เป็นความได้ผลในระดับเดียวกับการฝึกโยคะหรือชี่กงแบบอื่นๆ โดยหาได้ให้ผลเลิศแบบ “ปาฏิหาริย์” แต่อย่างใดไม่ แต่เป็นผลจากการฝึกฝนบริหารร่างกายแบบ “ดัดตน” และการฝึกลมปราณอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ วันมิได้ขาดนั่นเอง
นอกจากนี้ ควรเข้าใจถึง ปฏิบท (paradox) ของกระบวนท่าที่หก ด้วยว่า กระบวนท่าที่หกนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินอยู่บน วิถียอดคน เท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นยอดคน จะเป็นผู้ที่มีพลังชีวิตและพลังทางเพศมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนคนที่มีพลังทางเพศน้อยอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจหัดกระบวนท่าที่หกนี้ เพราะคนผู้นั้นไม่มีพลังทางเพศที่มากพอที่จะไปแปรเปลี่ยนมัน ถ้าขืนหัดไปอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายของผู้นั้นได้ ทางที่ดีจึงควรหัดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตให้กลับมามีพลังทางเพศเป็นปกติก่อน ส่วนยอดคนที่มีพลังทางเพศมากเป็นปกติอยู่แล้ว จึงควรหัดกระบวนท่าที่หกอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า กระบวนท่าที่หก เป็นกระบวนท่าสำหรับคนที่มุ่งก้าวข้ามเรื่องเพศนี้ไปแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความสุขอย่างอื่นในชีวิตที่มิใช่กามสุข สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มในกามสุข และไม่รู้เคล็ดลับของวิชาตันตระ หรือวิชาเต๋าแห่งเพศ จึงยังต้องต่อสู้เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกทางเพศอยู่ การฝืนธรรมชาติในเรื่องนี้อาจทำให้พลังเดินผิดทาง เกิดเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจที่เก็บกดอย่างรุนแรงได้ จึงควรระวังให้มากๆ และควรใส่ใจกับการฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” เท่านั้นก็พอ
อนึ่ง น้ำเสียงของบุรุษคือดัชนีที่บ่งบอกพลังชีวิต และพลังทางเพศของบุรุษผู้นั้นได้ดีที่สุด บุรุษที่มีน้ำเสียงต่ำทุ้ม ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังทางเพศสูงกว่าบุรุษที่มีน้ำเสียงสูงแหลม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะจักระที่ห้า (จักรคอ) ที่บริเวณลำคอนั้น มันเชื่อมโดยตรงกับจักระที่หนึ่ง (จักรฐาน) บริเวณอวัยวะเพศ และส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นั้นสูงแหลม ก็ย่อมแสดงว่า พลังทางเพศของผู้นั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพลังงานในจักระที่หนึ่งต่ำ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังงานในจักระอื่นๆ ทั้งหกก็ย่อมต่ำตามไปด้วย
นอกจากนี้ ควรเข้าใจถึง ปฏิบท (paradox) ของกระบวนท่าที่หก ด้วยว่า กระบวนท่าที่หกนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินอยู่บน วิถียอดคน เท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นยอดคน จะเป็นผู้ที่มีพลังชีวิตและพลังทางเพศมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนคนที่มีพลังทางเพศน้อยอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจหัดกระบวนท่าที่หกนี้ เพราะคนผู้นั้นไม่มีพลังทางเพศที่มากพอที่จะไปแปรเปลี่ยนมัน ถ้าขืนหัดไปอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายของผู้นั้นได้ ทางที่ดีจึงควรหัดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตให้กลับมามีพลังทางเพศเป็นปกติก่อน ส่วนยอดคนที่มีพลังทางเพศมากเป็นปกติอยู่แล้ว จึงควรหัดกระบวนท่าที่หกอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า กระบวนท่าที่หก เป็นกระบวนท่าสำหรับคนที่มุ่งก้าวข้ามเรื่องเพศนี้ไปแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความสุขอย่างอื่นในชีวิตที่มิใช่กามสุข สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มในกามสุข และไม่รู้เคล็ดลับของวิชาตันตระ หรือวิชาเต๋าแห่งเพศ จึงยังต้องต่อสู้เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกทางเพศอยู่ การฝืนธรรมชาติในเรื่องนี้อาจทำให้พลังเดินผิดทาง เกิดเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจที่เก็บกดอย่างรุนแรงได้ จึงควรระวังให้มากๆ และควรใส่ใจกับการฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” เท่านั้นก็พอ
อนึ่ง น้ำเสียงของบุรุษคือดัชนีที่บ่งบอกพลังชีวิต และพลังทางเพศของบุรุษผู้นั้นได้ดีที่สุด บุรุษที่มีน้ำเสียงต่ำทุ้ม ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังทางเพศสูงกว่าบุรุษที่มีน้ำเสียงสูงแหลม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะจักระที่ห้า (จักรคอ) ที่บริเวณลำคอนั้น มันเชื่อมโดยตรงกับจักระที่หนึ่ง (จักรฐาน) บริเวณอวัยวะเพศ และส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นั้นสูงแหลม ก็ย่อมแสดงว่า พลังทางเพศของผู้นั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพลังงานในจักระที่หนึ่งต่ำ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังงานในจักระอื่นๆ ทั้งหกก็ย่อมต่ำตามไปด้วย
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
เพราะฉะนั้น นอกจากจะควรฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อเร่งอัตราความเร็วในการหมุนจักระที่หนึ่งกับจักระที่ห้าแล้ว ผู้นั้นก็ควรฝึก “มนตราโยคะ” หรือการเปล่งเสียง “โอม...โอม...” ด้วยเสียงต่ำทุ้มอยู่เสมอ โดยในการฝึกออกเสียง “โอม” นั้นให้ผู้ฝึกแยกเสียงที่เปล่งออกมาเป็นสองท่อนคือ “โออ...” กับเสียง “มมม....” โดยก่อนออกเสียง ให้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด แล้วระบายออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเปล่งเสียง “โอม...มมม...” ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มกังวานมีพลัง ขณะที่ปล่อยเสียง “โออ...” ให้บริเวณหน้าอกสั่นสะเทือน และขณะที่ปล่อยเสียง “มมม...” ให้บริเวณฐานจมูกสั่นสะเทือน เคล็ดของวิธีนี้อยู่ที่การสั่นสะเทือนของเสียง ที่จะช่วยวางแนวหรือจัดแนวจักระทั้งเจ็ดให้ตรงกัน ทำให้พลังไหลสะดวก
สรุปก็คือ เคล็ดวิชาเพื่อรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนานตามโมเดลของโยคะนั้น อยู่ที่การทำให้อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดในร่างกายมีความสูงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่มิใช่แค่นั้นหรอก
อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่สุดของวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนั้น อยู่ที่มันเป็นวิธีกายบริหารแบบง่ายๆ แค่ 5 กระบวนท่า แต่มีประสิทธิผลสูงอย่างน่าทึ่ง ปัจจุบันนี้ วงการสุขภาพและศาสตร์ชะลอวัย จึงจัดให้วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ เป็นการบริหารร่างกายแบบโยคะอย่างง่ายๆ (simplified yoga) ชนิดหนึ่งที่ใช้เวลาไม่มากนักในการฝึกฝนแต่ละวันคือแค่สิบห้านาทีเท่านั้น วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกกายบริหารเพื่อสุขภาพ และการชะลอวัย แต่ไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาฝึกโยคะหรือชี่กงแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งจะให้ประสิทธิผลในเชิงบูรณาการได้มากกว่า และครอบคลุมทุกมิติแห่งตัวตนของผู้นั้นได้สมบูรณ์กว่า
ก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่าวิชา “5 กระบวนท่า” นี้เป็นของทิเบตจริงหรือไม่ และผู้พันแบรดฟอร์ดมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของปีเตอร์ เคลเดอร์ ผู้เขียนเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ เราได้รับรู้แล้วว่า ผู้พันแบรดฟอร์ดนี้เป็นนามแฝง แต่น่าจะมีตัวตนจริง เพราะนักวิชาการทางด้านทิเบตศึกษาได้ออกมายืนยันแล้วว่า ท่าการฝึกดัดตนของ “5 กระบวนท่า” นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับระบบการฝึกฝนของทิเบตขนานแท้ที่เรียกว่า วิชาภูลคอร์ (phrul khor) หรือวิชา “กายวัชระแห่งจักรอาทิตย์ และจักรจันทราที่รวมเป็นหนึ่ง” (Vajra Body Magical Wheel Sun and Moon Union) วิชาภูลคอร์นี้บางทีก็เรียกกันในทิเบตว่า วิชายันตระโยคะ (yantra yoga) ซึ่งเป็น โยคะสายพุทธทิเบต ชนิดหนึ่งที่สืบทอดหรือแตกแขนงมาจากกุณฑาลินีโยคะของอินเดีย-ทิเบต
สรุปก็คือ เคล็ดวิชาเพื่อรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนานตามโมเดลของโยคะนั้น อยู่ที่การทำให้อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดในร่างกายมีความสูงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่มิใช่แค่นั้นหรอก
อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่สุดของวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนั้น อยู่ที่มันเป็นวิธีกายบริหารแบบง่ายๆ แค่ 5 กระบวนท่า แต่มีประสิทธิผลสูงอย่างน่าทึ่ง ปัจจุบันนี้ วงการสุขภาพและศาสตร์ชะลอวัย จึงจัดให้วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ เป็นการบริหารร่างกายแบบโยคะอย่างง่ายๆ (simplified yoga) ชนิดหนึ่งที่ใช้เวลาไม่มากนักในการฝึกฝนแต่ละวันคือแค่สิบห้านาทีเท่านั้น วิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกกายบริหารเพื่อสุขภาพ และการชะลอวัย แต่ไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาฝึกโยคะหรือชี่กงแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งจะให้ประสิทธิผลในเชิงบูรณาการได้มากกว่า และครอบคลุมทุกมิติแห่งตัวตนของผู้นั้นได้สมบูรณ์กว่า
ก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่าวิชา “5 กระบวนท่า” นี้เป็นของทิเบตจริงหรือไม่ และผู้พันแบรดฟอร์ดมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของปีเตอร์ เคลเดอร์ ผู้เขียนเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ เราได้รับรู้แล้วว่า ผู้พันแบรดฟอร์ดนี้เป็นนามแฝง แต่น่าจะมีตัวตนจริง เพราะนักวิชาการทางด้านทิเบตศึกษาได้ออกมายืนยันแล้วว่า ท่าการฝึกดัดตนของ “5 กระบวนท่า” นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับระบบการฝึกฝนของทิเบตขนานแท้ที่เรียกว่า วิชาภูลคอร์ (phrul khor) หรือวิชา “กายวัชระแห่งจักรอาทิตย์ และจักรจันทราที่รวมเป็นหนึ่ง” (Vajra Body Magical Wheel Sun and Moon Union) วิชาภูลคอร์นี้บางทีก็เรียกกันในทิเบตว่า วิชายันตระโยคะ (yantra yoga) ซึ่งเป็น โยคะสายพุทธทิเบต ชนิดหนึ่งที่สืบทอดหรือแตกแขนงมาจากกุณฑาลินีโยคะของอินเดีย-ทิเบต
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
เมื่อเราทราบข้อเท็จจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ควรจะรู้ต่อไปด้วยว่า ยังมี “กระบวนท่าที่หก” นอกเหนือไปจาก “5 กระบวนท่า” อีกด้วย ซึ่งถ้าผู้ฝึกได้ฝึกแล้ว ถึงจะเป็นการฝึกตามโมเดลโยคะโดยสมบูรณ์
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (20)
(7/8/2555)
*กระบวนท่าที่หกในวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบต*
หลังจากที่ปีเตอร์ เคลเดอร์ ผู้เขียนหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” (ค.ศ. 1939) ได้ทดลองฝึกกระบวนท่าทั้งห้าของทิเบตเป็นเวลาสามเดือน จนกระทั่งเห็นผลปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ผู้พันแบรดฟอร์ดได้บอกกับเคลเดอร์ว่า ตอนนี้ตัวเขาอายุ 73 ปีแล้ว เคลเดอร์แทบไม่เชื่อสายตาเลย เพราะดูไปผู้พันแบรดฟอร์ดดูเหมือนมีอายุแค่สี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง (ดูอ่อนเยาว์ลง 30 ปี)
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกกับเคลเดอร์ว่า เขาเพิ่งหัดวิชานี้ได้แค่ 10 อาทิตย์ ก็ยังเห็นผลของมันแล้ว และถ้าเขาหัดต่อเนื่องไปอีกสองปี เขาก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขามากยิ่งกว่าที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้อีก แต่ถ้าเขาหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่านั้น อย่างที่มันได้เกิดกับตัวผู้พันแบรดฟอร์ดมาแล้ว เขาก็ต้องหัด กระบวนท่าที่หก ซึ่งผู้พันแบรดฟอร์ด ยังไม่ได้บอกเคลเดอร์
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า ที่ผ่านมา เขาไม่ได้บอกเคลเดอร์เรื่องกระบวนที่หก เพราะเขาอยากให้เคลเดอร์ได้เห็นผลจากการฝึกหัดกระบวนท่าทั้งห้านี้ก่อน อันที่จริง แค่การฝึก “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ ก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และความคึกคักมีชีวิตชีวาของเคลเดอร์ให้กลับมาหนุ่มขึ้นได้แล้ว และถ้าหากเคลเดอร์ต้องการจะกลับมาหนุ่มขึ้นจริงๆ ยิ่งกว่านั้น ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า เคลเดอร์จะต้องหัด กระบวนท่าที่หก ด้วย
แต่การจะหัด กระบวนท่าที่หก นี้ มันมีข้อจำกัดที่ผู้ฝึกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมากไม่เหมือนกับห้ากระบวนท่าแรก เพราะฉะนั้นคนที่จะหัดกระบวนท่าที่หกได้ จึงต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจริงๆ เท่านั้น เพราะผู้นั้นจะต้องถือพรหมจรรย์ไม่ยุ่งเกี่ยวทางเพศอีกเลยหลังจากเริ่มฝึกกระบวนท่าที่หกนี้แล้ว
nobporn:
แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการเพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (20)
(7/8/2555)
*กระบวนท่าที่หกในวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบต*
หลังจากที่ปีเตอร์ เคลเดอร์ ผู้เขียนหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” (ค.ศ. 1939) ได้ทดลองฝึกกระบวนท่าทั้งห้าของทิเบตเป็นเวลาสามเดือน จนกระทั่งเห็นผลปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ผู้พันแบรดฟอร์ดได้บอกกับเคลเดอร์ว่า ตอนนี้ตัวเขาอายุ 73 ปีแล้ว เคลเดอร์แทบไม่เชื่อสายตาเลย เพราะดูไปผู้พันแบรดฟอร์ดดูเหมือนมีอายุแค่สี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง (ดูอ่อนเยาว์ลง 30 ปี)
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกกับเคลเดอร์ว่า เขาเพิ่งหัดวิชานี้ได้แค่ 10 อาทิตย์ ก็ยังเห็นผลของมันแล้ว และถ้าเขาหัดต่อเนื่องไปอีกสองปี เขาก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขามากยิ่งกว่าที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้อีก แต่ถ้าเขาหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่านั้น อย่างที่มันได้เกิดกับตัวผู้พันแบรดฟอร์ดมาแล้ว เขาก็ต้องหัด กระบวนท่าที่หก ซึ่งผู้พันแบรดฟอร์ด ยังไม่ได้บอกเคลเดอร์
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า ที่ผ่านมา เขาไม่ได้บอกเคลเดอร์เรื่องกระบวนที่หก เพราะเขาอยากให้เคลเดอร์ได้เห็นผลจากการฝึกหัดกระบวนท่าทั้งห้านี้ก่อน อันที่จริง แค่การฝึก “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ ก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และความคึกคักมีชีวิตชีวาของเคลเดอร์ให้กลับมาหนุ่มขึ้นได้แล้ว และถ้าหากเคลเดอร์ต้องการจะกลับมาหนุ่มขึ้นจริงๆ ยิ่งกว่านั้น ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า เคลเดอร์จะต้องหัด กระบวนท่าที่หก ด้วย
แต่การจะหัด กระบวนท่าที่หก นี้ มันมีข้อจำกัดที่ผู้ฝึกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมากไม่เหมือนกับห้ากระบวนท่าแรก เพราะฉะนั้นคนที่จะหัดกระบวนท่าที่หกได้ จึงต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจริงๆ เท่านั้น เพราะผู้นั้นจะต้องถือพรหมจรรย์ไม่ยุ่งเกี่ยวทางเพศอีกเลยหลังจากเริ่มฝึกกระบวนท่าที่หกนี้แล้ว
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
คำอธิบายหรือเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็คือ ในระบบของโยคะหรือของเต๋า (วิชาเซียน) จะถือว่า พลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงจักระทั้งเจ็ดในร่างกายของคนเรานั้น จะถูกแปลงเป็นพลังทางเพศก่อน สำหรับผู้คนทั่วไปที่มิได้ฝึกวิชาลมปราณ พลังทางเพศนี้ส่วนใหญ่จะถูกใช้หรือถูกผลาญให้เหือดหายไปขณะที่อยู่ที่จักระที่หนึ่ง โดยแทบไม่มีโอกาสส่งไปบำรุงเลี้ยงจักระทั้งหกที่เหลือได้อย่างสมบูรณ์พอเลย
เพราะฉะนั้น ในการจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “ยอดคน” ตามระบบของโยคะ หรือระบบของเต๋า (วิชาเซียน) นั้น พลังชีวิตที่ทรงพลังอันนี้จะต้องได้รับการสะสมเอาไว้ภายในร่างกาย และถูกส่งต่อขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย เพื่อให้จักระทั้งหมดได้ใช้ประโยชน์จากมัน โดยเฉพาะจักระที่เจ็ด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ฝึกจะต้องถือพรหมจรรย์เพื่อสงวนและนำพลังทางเพศนี้ไปใช้ใหม่ในจุดมุ่งหมายที่สูงส่งยิ่งขึ้นกว่าเรื่องเพศ เช่น ในเรื่องศิลปะ งานที่สร้างสรรค์ และเรื่องทางจิตวิญญาณ
การดึงพลังทางเพศขึ้นไปที่ส่วนบนของร่างกายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะล้มเหลวในการทำสิ่งนี้ ก็เพราะพวกเขาพยายามที่จะควบคุมพลังทางเพศ โดยการไปกดข่มมัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดพลาด แนวทางที่ถูกและเป็นแนวทางเดียวที่จะควบคุมพลังทางเพศอันทรงพลังนี้ได้ก็คือ การแปรรูป (transmute) มันให้เป็นพลังงานขั้นสูง พร้อมกับดึงมันไปใช้ที่ส่วนบนของร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน
กระบวนท่าที่หกนี้เป็นท่าที่ง่ายมาก สามารถทำได้ทุกที่ แต่ผู้ฝึกควรหัดท่านี้ต่อเมื่อผู้ฝึกรู้สึกว่าตัวเองมีพลังทางเพศมากเกินไป หรือเมื่อรู้สึกเกิดกำหนัดรุนแรงเท่านั้น วิธีฝึกกระบวนท่าที่หกเป็นดังนี้ ก่อนอื่นให้ผู้ฝึกยืนตัวตรง ค่อยๆ ระบายอากาศทั้งหมดออกจากปอดของตน ขณะที่ทำเช่นนี้ ให้ผู้ฝึกงอลำตัวลง โดยวางสองมือของตนไปแตะหัวเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นขับอากาศก้อนสุดท้ายออกจากปอดของตนจนปอดของตนว่างเปล่า แล้วจึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า พร้อมๆ กับยกตัวกลับมายืนตรงในท่าเดิม ต่อจากนั้นให้ผู้ฝึกเลื่อนมือมาแตะที่สะโพกของตน กดมันลงไป มันจะยกไหล่ของตนเองขึ้นมา ขณะที่ผู้ฝึกทำเช่นนี้ ให้หดช่องท้องของตนเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะฉะนั้น ในการจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “ยอดคน” ตามระบบของโยคะ หรือระบบของเต๋า (วิชาเซียน) นั้น พลังชีวิตที่ทรงพลังอันนี้จะต้องได้รับการสะสมเอาไว้ภายในร่างกาย และถูกส่งต่อขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย เพื่อให้จักระทั้งหมดได้ใช้ประโยชน์จากมัน โดยเฉพาะจักระที่เจ็ด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ฝึกจะต้องถือพรหมจรรย์เพื่อสงวนและนำพลังทางเพศนี้ไปใช้ใหม่ในจุดมุ่งหมายที่สูงส่งยิ่งขึ้นกว่าเรื่องเพศ เช่น ในเรื่องศิลปะ งานที่สร้างสรรค์ และเรื่องทางจิตวิญญาณ
การดึงพลังทางเพศขึ้นไปที่ส่วนบนของร่างกายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะล้มเหลวในการทำสิ่งนี้ ก็เพราะพวกเขาพยายามที่จะควบคุมพลังทางเพศ โดยการไปกดข่มมัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดพลาด แนวทางที่ถูกและเป็นแนวทางเดียวที่จะควบคุมพลังทางเพศอันทรงพลังนี้ได้ก็คือ การแปรรูป (transmute) มันให้เป็นพลังงานขั้นสูง พร้อมกับดึงมันไปใช้ที่ส่วนบนของร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน
กระบวนท่าที่หกนี้เป็นท่าที่ง่ายมาก สามารถทำได้ทุกที่ แต่ผู้ฝึกควรหัดท่านี้ต่อเมื่อผู้ฝึกรู้สึกว่าตัวเองมีพลังทางเพศมากเกินไป หรือเมื่อรู้สึกเกิดกำหนัดรุนแรงเท่านั้น วิธีฝึกกระบวนท่าที่หกเป็นดังนี้ ก่อนอื่นให้ผู้ฝึกยืนตัวตรง ค่อยๆ ระบายอากาศทั้งหมดออกจากปอดของตน ขณะที่ทำเช่นนี้ ให้ผู้ฝึกงอลำตัวลง โดยวางสองมือของตนไปแตะหัวเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นขับอากาศก้อนสุดท้ายออกจากปอดของตนจนปอดของตนว่างเปล่า แล้วจึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า พร้อมๆ กับยกตัวกลับมายืนตรงในท่าเดิม ต่อจากนั้นให้ผู้ฝึกเลื่อนมือมาแตะที่สะโพกของตน กดมันลงไป มันจะยกไหล่ของตนเองขึ้นมา ขณะที่ผู้ฝึกทำเช่นนี้ ให้หดช่องท้องของตนเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
ขณะเดียวกันให้กักลมเอาไว้ โดยที่ผู้ฝึกจะต้องอยู่ในท่านี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ในขณะนั้น หน้าอกของผู้ฝึกจะถูกยกขึ้นมา เมื่อผู้ฝึกจำต้องหายใจเข้าให้อากาศไหลเข้าสู่ปอดที่ว่างเปล่าของตน จงหายใจเข้าผ่านรูจมูก เมื่ออากาศเข้าไปจนเต็มปอดให้หายใจออกทางปาก ขณะที่หายใจออกจงผ่อนคลายแขนทั้งสองข้าง ปล่อยมันวางข้างๆ ลำตัวอย่างช้าๆ เป็นธรรมชาติ จากนั้นหายใจลึกๆ หลายครั้งผ่านจมูก และปล่อยให้มันไหลออกทางปากหรือจมูกก็ได้ เป็นการจบกระบวนท่าที่หกนี้
กระบวนท่าที่หกนี้ ควนทำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อแปรรูปพลังทางเพศในตัวผู้นั้น และดึงพลังนี้ขึ้นส่วนบนของร่างกาย หลังจากนั้นแล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ผู้ฝึกก็ควรจะฝึกบำเพ็ญภาวนาต่อโดยการนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิหรือยืนสมาธิ หรือนอนสมาธิเพื่อการบ่มเพาะพลัง และแปรรูปพลังทางเพศให้กลายเป็นพลังปราณ และกลายเป็นพลังจิตวิญญาณในที่สุด ถึงจะเป็นการ
กระบวนท่าที่หกนี้ ควนทำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อแปรรูปพลังทางเพศในตัวผู้นั้น และดึงพลังนี้ขึ้นส่วนบนของร่างกาย หลังจากนั้นแล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ผู้ฝึกก็ควรจะฝึกบำเพ็ญภาวนาต่อโดยการนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิหรือยืนสมาธิ หรือนอนสมาธิเพื่อการบ่มเพาะพลัง และแปรรูปพลังทางเพศให้กลายเป็นพลังปราณ และกลายเป็นพลังจิตวิญญาณในที่สุด ถึงจะเป็นการ
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
ฝึกตามโมเดลโยคะที่สมบูรณ์
มีความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวดำรงอยู่ระหว่างคนที่มีสุขภาพแข็งแรงกับคนที่เป็น “ยอดคน” ก็คือ คนประเภทแรก แปลงพลังชีวิตให้เป็นพลังทางเพศได้เท่านั้น ขณะที่คนประเภทหลังจะทำการแปรเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นพลังที่สูงส่งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสมดุลและปรองดองกับจักรวาลโดยผ่านจักระทั้งเจ็ด
จะเห็นได้ว่า สำหรับ “ยอดคน” แล้ว แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาวนั้น อยู่ภายในตัวของเขาเองอยู่แล้วตลอดเวลา และน้ำอมฤตก็เป็นสิ่งที่ถูกกลั่นมาจากภายในร่างกายเขานั่นเอง โดยไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาข้างนอกแต่อย่างใดเลย
นอกจากนี้ ควรเข้าใจถึง ปฏิบท (paradox) ของกระบวนท่าที่หก ด้วยว่า กระบวนท่าที่หกนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินอยู่บน วิถียอดคน เท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นยอดคน จะเป็นผู้ที่มีพลังชีวิตและพลังทางเพศมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนคนที่มีพลังทางเพศน้อยอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจหัดกระบวนท่าที่หกนี้ เพราะคนผู้นั้นไม่มีพลังทางเพศที่มากพอที่จะไปแปรเปลี่ยนมัน ถ้าขืนหัดไปอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายของผู้นั้นได้ ทางที่ดีจึงควรหัดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตให้กลับมามีพลังทางเพศเป็นปกติก่อน ส่วนยอดคนที่มีพลังทางเพศมากเป็นปกติอยู่แล้ว จึงควรหัดกระบวนท่าที่หกอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า กระบวนท่าที่หก เป็นกระบวนท่าสำหรับคนที่มุ่งก้าวข้ามเรื่องเพศนี้ไปแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความสุขอย่างอื่นในชีวิตที่มิใช่กามสุข สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มในกามสุข และไม่รู้เคล็ดลับของวิชาตันตระ หรือวิชาเต๋าแห่งเพศ จึงยังต้องต่อสู้เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกทางเพศอยู่ การฝืนธรรมชาติในเรื่องนี้อาจทำให้พลังเดินผิดทาง เกิดเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจที่เก็บกดอย่างรุนแรงได้ จึงควรระวังให้มากๆ และควรใส่ใจกับการฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” เท่านั้นก็พอ
อนึ่ง น้ำเสียงของบุรุษคือดัชนีที่บ่งบอกพลังชีวิต และพลังทางเพศของบุรุษผู้นั้นได้ดีที่สุด บุรุษที่มีน้ำเสียงต่ำทุ้ม ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังทางเพศสูงกว่าบุรุษที่มีน้ำเสียงสูงแหลม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะจักระที่ห้า (จักรคอ) ที่บริเวณลำคอนั้น มันเชื่อมโดยตรงกับจักระที่หนึ่ง (จักรฐาน) บริเวณอวัยวะเพศ และส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นั้นสูงแหลม ก็ย่อมแสดงว่า พลังทางเพศของผู้นั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพลังงานในจักระที่หนึ่งต่ำ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังงานในจักระอื่นๆ ทั้งหกก็ย่อมต่ำตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น นอกจากจะควรฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อเร่งอัตราความเร็วในการหมุนจักระที่หนึ่งกับจักระที่ห้าแล้ว ผู้นั้นก็ควรฝึก “มนตราโยคะ” หรือการเปล่งเสียง “โอม...โอม...” ด้วยเสียงต่ำทุ้มอยู่เสมอ โดยในการฝึกออกเสียง “โอม” นั้นให้ผู้ฝึกแยกเสียงที่เปล่งออกมาเป็นสองท่อนคือ “โออ...” กับเสียง “มมม....” โดยก่อนออกเสียง ให้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด แล้วระบายออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเปล่งเสียง “โอม...มมม...” ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มกังวานมีพลัง ขณะที่ปล่อยเสียง “โออ...” ให้บริเวณหน้าอกสั่นสะเทือน และขณะที่ปล่อยเสียง “มมม...” ให้บริเวณฐานจมูกสั่นสะเทือน เคล็ดของวิธีนี้อยู่ที่การสั่นสะเทือนของเสียง ที่จะช่วยวางแนวหรือจัดแนวจักระทั้งเจ็ดให้ตรงกัน ทำให้พลังไหลสะดวก
สรุปก็คือ เคล็ดวิชาเพื่อรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนานตามโมเดลของโยคะนั้น อยู่ที่การทำให้อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดในร่างกายมีความสูงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่มิใช่แค่นั้นหรอก
Israel:“เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์*
มีความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวดำรงอยู่ระหว่างคนที่มีสุขภาพแข็งแรงกับคนที่เป็น “ยอดคน” ก็คือ คนประเภทแรก แปลงพลังชีวิตให้เป็นพลังทางเพศได้เท่านั้น ขณะที่คนประเภทหลังจะทำการแปรเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นพลังที่สูงส่งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสมดุลและปรองดองกับจักรวาลโดยผ่านจักระทั้งเจ็ด
จะเห็นได้ว่า สำหรับ “ยอดคน” แล้ว แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาวนั้น อยู่ภายในตัวของเขาเองอยู่แล้วตลอดเวลา และน้ำอมฤตก็เป็นสิ่งที่ถูกกลั่นมาจากภายในร่างกายเขานั่นเอง โดยไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาข้างนอกแต่อย่างใดเลย
นอกจากนี้ ควรเข้าใจถึง ปฏิบท (paradox) ของกระบวนท่าที่หก ด้วยว่า กระบวนท่าที่หกนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินอยู่บน วิถียอดคน เท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นยอดคน จะเป็นผู้ที่มีพลังชีวิตและพลังทางเพศมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนคนที่มีพลังทางเพศน้อยอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจหัดกระบวนท่าที่หกนี้ เพราะคนผู้นั้นไม่มีพลังทางเพศที่มากพอที่จะไปแปรเปลี่ยนมัน ถ้าขืนหัดไปอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายของผู้นั้นได้ ทางที่ดีจึงควรหัดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตให้กลับมามีพลังทางเพศเป็นปกติก่อน ส่วนยอดคนที่มีพลังทางเพศมากเป็นปกติอยู่แล้ว จึงควรหัดกระบวนท่าที่หกอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า กระบวนท่าที่หก เป็นกระบวนท่าสำหรับคนที่มุ่งก้าวข้ามเรื่องเพศนี้ไปแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความสุขอย่างอื่นในชีวิตที่มิใช่กามสุข สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มในกามสุข และไม่รู้เคล็ดลับของวิชาตันตระ หรือวิชาเต๋าแห่งเพศ จึงยังต้องต่อสู้เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกทางเพศอยู่ การฝืนธรรมชาติในเรื่องนี้อาจทำให้พลังเดินผิดทาง เกิดเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจที่เก็บกดอย่างรุนแรงได้ จึงควรระวังให้มากๆ และควรใส่ใจกับการฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” เท่านั้นก็พอ
อนึ่ง น้ำเสียงของบุรุษคือดัชนีที่บ่งบอกพลังชีวิต และพลังทางเพศของบุรุษผู้นั้นได้ดีที่สุด บุรุษที่มีน้ำเสียงต่ำทุ้ม ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังทางเพศสูงกว่าบุรุษที่มีน้ำเสียงสูงแหลม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะจักระที่ห้า (จักรคอ) ที่บริเวณลำคอนั้น มันเชื่อมโดยตรงกับจักระที่หนึ่ง (จักรฐาน) บริเวณอวัยวะเพศ และส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นั้นสูงแหลม ก็ย่อมแสดงว่า พลังทางเพศของผู้นั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพลังงานในจักระที่หนึ่งต่ำ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังงานในจักระอื่นๆ ทั้งหกก็ย่อมต่ำตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น นอกจากจะควรฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อเร่งอัตราความเร็วในการหมุนจักระที่หนึ่งกับจักระที่ห้าแล้ว ผู้นั้นก็ควรฝึก “มนตราโยคะ” หรือการเปล่งเสียง “โอม...โอม...” ด้วยเสียงต่ำทุ้มอยู่เสมอ โดยในการฝึกออกเสียง “โอม” นั้นให้ผู้ฝึกแยกเสียงที่เปล่งออกมาเป็นสองท่อนคือ “โออ...” กับเสียง “มมม....” โดยก่อนออกเสียง ให้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด แล้วระบายออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเปล่งเสียง “โอม...มมม...” ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มกังวานมีพลัง ขณะที่ปล่อยเสียง “โออ...” ให้บริเวณหน้าอกสั่นสะเทือน และขณะที่ปล่อยเสียง “มมม...” ให้บริเวณฐานจมูกสั่นสะเทือน เคล็ดของวิธีนี้อยู่ที่การสั่นสะเทือนของเสียง ที่จะช่วยวางแนวหรือจัดแนวจักระทั้งเจ็ดให้ตรงกัน ทำให้พลังไหลสะดวก
สรุปก็คือ เคล็ดวิชาเพื่อรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนานตามโมเดลของโยคะนั้น อยู่ที่การทำให้อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดในร่างกายมีความสูงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่มิใช่แค่นั้นหรอก
Israel:“เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” ของปีเตอร์ เคลเดอร์*
NIGPO- จำนวนข้อความ : 63
Join date : 18/03/2015
Age : 28
Re: [เคล็ดลับ]โบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว
5 ท่า นี้ฝึกมาหลายปีแล้วครับ ช่วงหลัง ๆ นี้ชักห่าง ๆ ไม่ได้ฝึกทุกวัน
ต้องพยายามบังคับตัวเองให้ฝึกให้ได้ทุกวันซะแล้ว
แต่ท่าที่ 6 เนี่ย ผมยังไม่แน่ใจในกระบวนท่านะครับ ว่าจะทำได้ถูกต้องหรือเปล่า
และไม่เคยทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยซักครั้ง
ในการพยายาม no fab ครั้งที่ 2 ของผม ผมเคยคิดจะใช้ท่าที่ 6 ตอนที่อารมณ์ทางเพศพลุ่งพล่านสุด ๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ กลายเป็นหลุดไปซะงั้น
ความพยายาม no fab รอบนี้เป็น ครั้งที่ 4 ก็ทำได้นานหน่อย นับตามลายเซ็นต์ด้านล่างครับ
รอบนี้ ผมพยายามอิงตาม คัมภีร์ละกาม ครับ
ต้องพยายามบังคับตัวเองให้ฝึกให้ได้ทุกวันซะแล้ว
แต่ท่าที่ 6 เนี่ย ผมยังไม่แน่ใจในกระบวนท่านะครับ ว่าจะทำได้ถูกต้องหรือเปล่า
และไม่เคยทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยซักครั้ง
ในการพยายาม no fab ครั้งที่ 2 ของผม ผมเคยคิดจะใช้ท่าที่ 6 ตอนที่อารมณ์ทางเพศพลุ่งพล่านสุด ๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ กลายเป็นหลุดไปซะงั้น
ความพยายาม no fab รอบนี้เป็น ครั้งที่ 4 ก็ทำได้นานหน่อย นับตามลายเซ็นต์ด้านล่างครับ
รอบนี้ ผมพยายามอิงตาม คัมภีร์ละกาม ครับ
tuix- จำนวนข้อความ : 59
Join date : 16/01/2015
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ